กระทรวงพลังงานใช้มาตรการกลไกด้านราคาทำให้น้ำมัน B10 ถูกกว่าน้ำมันดีเซลปกติ หรือ B7 ในอัตรา 1 บาทต่อลิตร ผ่านกลไกการใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ลดภาษีสรรพสามิต และลดภาษีอื่นๆ ด้าน ปตท. ประเดิมขาย B10 ปั๊มภาคใต้ เริ่มต้น 17 พฤษภาคม นี้ ตั้งเป้า 340 แห่งภายในปีนี้ จากนั้นจะขยายเพิ่มในภาคตะวันออก-ภาคกลาง
นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงได้ใช้มาตรการกลไกด้านราคาทำให้น้ำมัน B10 ถูกกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B7 ในอัตรา 1 บาทต่อลิตร ผ่านกลไกการใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาอุดหนุนน้ำมันอัตรา 65 สตางค์ต่อลิตร และภาษีสรรพสามิตลดลงอีก 19 สตางค์ต่อลิตร และลดภาษีส่วนอื่นๆ มั่นใจว่ากลไกด้านราคาดังกล่าวจะสามารถจูงใจผู้ใช้น้ำมัน B10 และทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันปาล์มดิบเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ปาล์มน้ำมันของประเทศ ทำให้การใช้น้ำมันปาล์มดิบรวมเป็น 2 ล้านตันต่อปี จากปัจจุบันที่อยู่ประมาณ 1.5 ล้านตันต่อปี เป็นการสร้างประโยชน์ในด้านการลดการนำเข้าน้ำมันดิบ และช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน
ทั้งนี้ในเบื้องต้น บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ PTTOR จะนำร่องจำหน่ายน้ำมันดีเซล B10 โดยเริ่มจากสถานีบริการน้ำมันในพื้นที่ภาคใต้ ตั้งเป้า 340 แห่งภายในปีนี้ จากนั้นจะขยายไปยังสถานีบริการในภาคตะวันออกและภาคกลางต่อไป หลังจาก ปตท.นำร่องแล้ว ทั้งบางจาก ซัสโก้ และพีที เตรียมเปิดจำหน่ายต่อไป
ด้าน นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ PTTOR กล่าวว่า PTTOR จะนำร่องจำหน่ายน้ำมันดีเซล B10 ผ่านสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ทุกแห่งในภาคใต้ และจะขยายไปยังภาคตะวันออก และภาคกลางบางส่วน โดยคาดว่าในช่วงระยะแรกจะจำหน่ายน้ำมัน B10 ได้ 3.2 ล้านลิตรต่อวัน ทำให้มียอดการใช้ B100 ซึ่งใช้ในการผลิตน้ำมันดีเซล B10 มากถึง 300,000 ลิตรต่อวัน ซึ่งจะช่วยดูดปริมาณน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มขึ้น 92,000 ตันต่อปี จากนั้นคาดว่าจะสามารถขยายจำหน่ายน้ำมัน B10 ผ่านสถานีบริการน้ำมัน พีทีที โออาร์ ทุกแห่งทั่วประเทศได้ภายในปี 2564