กฟผ. วาดแผนการลงทุนระยะ 10 ปี ตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า PDP2018 พร้อมทุ่มงบลงทุน 600,000 ล้านบาท ลงทุนพัฒนาระบบสายส่ง และโรงไฟฟ้าใหม่ทดแทนโรงไฟฟ้าที่จะหมดอายุสัญญาในระยะ 10 ปี รวม 5,400 เมกะวัตต์ รวมทั้งสิ้น 8 โรง แบ่งเป็นเชื้อเพลิงถ่านหิน 700 เมกะวัตต์ที่แม่เมาะ นอกนั้นจะเป็นโรงไฟฟ้าคอมไบน์ไซเคิล ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก
การสร้างโรงไฟฟ้าใหม่จะทำให้สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของกฟผ. อยู่ที่ 31% หลังปลดระวางโรงไฟฟ้าที่หมดอายุแล้ว ซึ่งลดลงจากปัจจุบันที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 35% โดยตามแผนพีดีพี 2018 กำหนดสัดส่วน กฟผ. ผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 24% ช่วงปลายแผน สำหรับสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ของภาคเอกชนเหลือเพียง 13% ปัจจุบันอยู่ที่ 33% ซึ่งจะมีการกระจายไปสู่โรงไฟฟ้าขนาดเล็กมากขึ้นกว่า 35% จะเป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนโดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์มากที่สุด
นอกจากนี้ กฟผ. ได้ติดตั้งระบบกักเก็บพลังงาน (เอนเนอร์ยี่สรอเรจ) ในโรงไฟฟ้าลพบุรี และชัยบาดาล เป็นการนำร่องควบคู่พัฒนาเทคโนโลยีที่จะนำไปใช้ในโรงไฟฟ้าให้เดินเครื่องในสถานการณ์ที่เชื้อเพลิงต่ำได้ โดยเบื้องต้นกักเก็บไฟฟ้าได้ 20 เมกะวัตต์ จ่ายไฟได้ช่วง 15 นาที กรณีที่โรงไฟฟ้าหลักเกิดเหตุดับ ก่อนเดินเครื่องเข้าระบบของโรงงานไฟฟ้าหลักได้อีกครั้ งบสถานนีละ 800 ล้านบาท
โดยศักยภาพของเขื่อน กฟผ. สามารถติดตั้งโซลาร์ลอยน้ำและผลิตไฟฟ้าได้อีก 10,000 เมกะตต์ในเขื่อนทั่วประเทศ และในอนาคตหากมมีการติดตั้งเอนเนอร์ยี่สรอเรจร่วมด้วย จะทำให้เขื่อนสามารถจ่ายไฟฟ้าได้ต่อเนื่อง 18-20 ชั่วโมงต่อวัน