กระทรวงพลังงานคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟสูงสุด ปีนี้เพิ่มกว่าปีก่อน 4.6% แตะที่ 35,889 เมกะวัตต์ เหตุอุณหภูมิร้อนจัดทั่วไทย ประเมินพีคสุดในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม สนพ. ขอความร่วมมือ วอนทุกภาคส่วนใช้มาตรการ 4 ป. ปิด ปรับ ปลด เปลี่ยน ลดพีค
นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ รองปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงผลค่าพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้า โดยได้ประมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศไทย ช่วงพีคสุดในปี 2562 คาดอยู่ระหว่างช่วงปลายเดือนเมษายน – ต้นเดือนพฤษภาคม 2562 ที่ 35,889 เมกะวัตต์ โดยเพิ่มขึ้นกว่าปี 2561 ที่ 4.6% ทั้งนี้กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าอุณหภูมิช่วงหน้าร้อนนี้ จะอยู่ระหว่าง 42-43 องศาเซลเซียสในเวลาเดียวกัน ซึ่งจากข้อมูลในปีที่ผ่านมาช่วงพีคสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 เมษายน 61 เวลา 13.51 น. อยู่ที่ระดับ 34,317 เมกะวัตต์
“พีคนั้นมีหลายองค์ประกอบที่จะเป็นตัวแปรสำคัญโดยหากอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงขึ้นหรือลดลง 1 องศาเซลเซียสจะมีผลต่อการใช้ไฟฟ้าประมาณ 400 เมกะวัตต์ ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าใช้เอง (IPS) ที่อาจเติบโตขึ้น ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อนเร็วกว่าปกติ โดยปีนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนพฤษภาคม 2562 และสภาพอากาศที่แปรปรวน ล้วนมีผลต่อการพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าเบี่ยงเบนไปจากคาดการณ์ได้” นายสราวุธกล่าว
นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า “ขณะนี้ได้จัดเตรียมมาตรการสร้างความตระหนักในการประหยัดพลังงานและขอความร่วมมือจากภาคประชาชน เอกชน และอุตสาหกรรม ให้ช่วยกันลดใช้ไฟฟ้าอย่างจริงจัง โดยได้มีการประชาสัมพันธ์ผ่านมาตรการ 4 ป. ได้แก่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ได้แก่ ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น ปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศเป็น 26 องศา ปลดปลั๊กอุปกรณ์ไฟฟ้าเมื่อเลิกใช้ เปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ประหยัดไฟเบอร์ 5 เพื่อลดพีคไฟฟ้า
นายจรรยง วงศ์จันทร์พงษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการปฏิบัติการควบคุมระบบ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า “กฟผ.บริหารจัดการโรงไฟฟ้าในระบบทั้งโรงไฟฟ้าของ กฟผ. โรงไฟฟ้า IPP และ SPP ให้มีการทำงานบำรุงรักษาเท่าที่จำเป็น และขอความร่วมมืองดบำรุงรักษานอกแผนที่ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนตลอดช่วงฤดูร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเดือนมีนาคมถึง พฤษภาคม ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงเพื่อรักษาความมั่นคง โดยในช่วงฤดูร้อนปีนี้จะมีกำลังผลิตสำรองพร้อมจ่ายเพียงพอสำหรับรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉินซ้ำซ้อนที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งได้ประสานงานกับ ปตท. ในการเพิ่มความสามารถในการส่งเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ ให้มีความเพียงพอต่อความต้องการใช้ผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น