อัครา ผนึกพันธมิตร-จุฬาฯ เปลี่ยนหางแร่เป็นอิฐบล็อกคาร์บอนต่ำ ยกระดับอุตสาหกรรมทองคำไทย


เมื่ออุตสาหกรรมทองคำไทยกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญของการยกระดับทั้งระบบ บริษัท  อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการเหมืองแร่ทองคำรายเดียวของประเทศ จับมือกับ GIT, ห้างทองแม่ทองสุก และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเวทีเสวนาวิชาการหัวข้อ “เหมืองแร่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเชื่อมมาตรฐานสากล สู่โอกาส Carbon Credit จากนวัตกรรมหางแร่” เพื่อร่วมกันวางทิศทางใหม่ของอุตสาหกรรมทองคำไทยให้ก้าวทันโลก

อัครา ผนึกพันธมิตร-จุฬาฯ เปลี่ยนหางแร่เป็นอิฐบล็อกคาร์บอนต่ำ ยกระดับอุตสาหกรรมทองคำไทย

ในฐานะผู้ดำเนินการเหมืองแร่ทองคำชาตรี อัครามีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เชื่อมสายธารการผลิตทองคำเข้ากับอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทยอย่างเป็นระบบ ขณะเดียวกันยังสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้ประเทศกว่า 7.7 พันล้านบาทต่อปี และสร้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมกว่า 1,000 อัตราในพื้นที่รอบเหมือง แม้จะเป็นผู้ผลิตทองคำรายเดียว แต่สามารถสร้างรายได้กลับคืนรัฐผ่านค่าภาคหลวงติดอันดับ Top 5 ของประเทศในกลุ่มอุตสาหกรรมเหมืองแร่ สะท้อนความสำคัญของอุตสาหกรรมทองคำต่อเศรษฐกิจและโอกาสใหม่ทางสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

เร่งฟื้นศักยภาพการผลิตทองคำ เดินหน้าอุตสาหกรรมไทยสู่ความยั่งยืน

เชิดศักดิ์ อรรถอารุณ ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายความยั่งยืนขององค์กร บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมทองคำไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ การจัดเวทีเสวนาครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่เราจะได้พูดคุยประเด็นสำคัญเกี่ยวกับมาตรฐานและแนวทางพัฒนาอุตสาหกรรมทองคำไทยให้ก้าวหน้าอย่างมีความรับผิดชอบและมั่นคง เพื่อให้ทองคำเป็นสินค้าเศรษฐกิจที่สร้างรายได้และชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยในระยะยาว

หลังกลับมาเดินเครื่องผลิตอีกครั้งตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 บริษัทฯ ได้เร่งปรับปรุงกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง แม้ยังไม่กลับไปสู่ระดับสูงสุดเท่าช่วงก่อนปิดเหมืองเมื่อปี 2558 ที่เคยผลิตได้กว่า 120,000 ออนซ์ต่อปี แต่ปีนี้คาดว่าจะทำได้ราว 96,000 ออนซ์ หรืออาจแตะระดับใกล้เคียงหากปัจจัยเอื้ออำนวย โดยมองว่ายังต้องใช้เวลาอีกระยะก่อนที่กำลังการผลิตจะกลับสู่จุดสูงสุดเดิม

ขณะที่ศักยภาพทรัพยากรทองคำของไทยยังมีโอกาสเติบโต โดยพื้นที่ที่พาดผ่านตั้งแต่จังหวัดเลย เพชรบูรณ์ พิจิตร ลพบุรี สระบุรี ไปจนถึงสระแก้วและปราจีนบุรี ซึ่งเคยมีผลสำรวจของกรมทรัพยากรธรณียืนยันการพบแหล่งสะสมแร่หลายแห่ง แต่อัตราการพบแหล่งแร่ที่มีความสมบูรณ์พอสำหรับพัฒนาเป็นเหมืองทองคำจริงมีน้อยกว่า 1% และต้องใช้เวลาสำรวจยาวนานมาก ตัวอย่างเหมืองอัคราฯ เองใช้เวลากว่า 13 ปี และเงินลงทุนราว 600–700 ล้านบาท ก่อนสรุปได้ว่าพื้นที่มีแร่เพียงพอต่อการลงทุนผลิตเชิงพาณิชย์

พื้นที่จำกัดและชุมชน คือปัจจัยตัดสินอนาคต

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญของการทำเหมืองโลหะในประเทศไทยคือข้อจำกัดด้านพื้นที่และความหนาแน่นของชุมชน การพัฒนาแหล่งแร่ใหม่จำเป็นต้องพิจารณาร่วมกับการอยู่ร่วมกับชุมชน (Co-existing Resource) และทิศทางนโยบายของรัฐ เพราะการทำเหมืองไม่สามารถดำเนินโดยละเลยผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมได้

เชิดศักดิ์ กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันเหมืองอัคราฯ มีพื้นที่ราว กว่า 10,000 ไร่ และชุมชนใกล้เคียงอยู่ห่างออกไปราวหนึ่งกิโลเมตร ทำให้สามารถบริหารจัดการผลกระทบได้ดีกว่าแหล่งแร่ที่ตั้งชิดชุมชนมากกว่านี้ ผู้บริหารประเมินว่า ด้วยราคาทองคำปัจจุบัน เหมืองยังสามารถเดินหน้าต่อได้อีก 7–8 ปี อย่างมั่นคง หลังจากที่ดำเนินงานมายาวนานถึง 24 ปี จากเดิมที่ประเมินว่าจะทำได้เพียง 5 ปีตามราคาทองช่วงเริ่มผลิต

วางกรอบพัฒนาชุมชน รับผิดชอบสิ่งแวดล้อม

ด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัทฯ ระบุว่าได้นำกรอบ ESG Framework มาประยุกต์ใช้เต็มรูปแบบ โดยให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับมิติ Social Responsibility เพื่อสร้างประโยชน์กลับคืนสู่ชุมชนในพื้นที่รอยต่อระหว่างพิจิตรและเพชรบูรณ์ ซึ่งอยู่ไกลจากศูนย์กลางการบริหารราชการระดับจังหวัด ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนต่อยอด “หางแร่” ที่เก็บในบ่อเก็บที่ปิดใช้งานแล้ว (บ่อที่ 1) ซึ่งมีราว 22 ล้านตัน ให้กลายเป็นวัตถุดิบสร้างอาชีพพื้นฐานในชุมชน ผ่านงานวิจัยที่สามารถพัฒนาเป็นกิจการท้องถิ่นได้ ไม่จำเป็นต้องสร้างมูลค่าเพิ่มสูง แต่เน้นสร้างระบบเศรษฐกิจชุมชนที่ยืนได้ด้วยตนเองในระยะยาวหลังเหมืองยุติการดำเนินงาน

ต้นแบบ “Green Gold” เสริมแกร่งเศรษฐกิจหมุนเวียน

กีรดิต หิรัณยศิริ ประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด  (MTS) กล่าวว่า ห้างทองแม่ทองสุก ในฐานะผู้ค้าทองคำรายแรกของไทยที่ได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ ระบุว่าอุตสาหกรรมทองคำไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของ “ทองคำสีเขียว (Green Gold)” ซึ่งให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การทำเหมือง การถลุง การผลิต ไปจนถึงการจำหน่าย โดยมองว่านี่คือทิศทางสำคัญที่จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมทองคำไทยสู่มาตรฐานสากล

ทองคำรีไซเคิลเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยโรงงานสามารถดึงวัสดุจากทองเก่ากลับมาได้กว่า 50 ตันต่อปี ผ่านกระบวนการหลอมและแยกแร่จนได้มาตรฐาน 99.99% พร้อมสแตมป์รองรับเพื่อการส่งออก ทั้งหมดผ่านระบบ Water Treatment และมาตรฐาน CE Mark 100% ทำให้ผลิตภัณฑ์สะอาด ปลอดของเสีย และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ

“เชื่อว่าการผลิต “ทองคำที่คลีนที่สุด” เพื่อสิ่งแวดล้อม และแนวคิด Ethical & Sustainable Gold จะตอบโจทย์นักลงทุนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อสังคม ช่วยเสริมความน่าเชื่อถือและความสามารถแข่งขันของทองคำไทยในตลาดโลก พร้อมผลักดันให้อุตสาหกรรมทองคำไทยเดินหน้าเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียวอย่างยั่งยืนในระยะยาว” กีรดิต กล่าว

ชูมาตรฐานทองคำยุคใหม่ หนุนภาพลักษณ์ไทย

สุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย จากสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (GIT) กล่าวว่า GIT ให้ความสำคัญกับการยกระดับจริยธรรม และมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมในห่วงโซ่อุตสาหกรรมทองคำ โดยปีนี้ได้เพิ่มมาตรฐานคาร์บอนฟุตพรินต์ รวมถึงพัฒนามาตรฐานทองแท่ง เพื่อยกระดับความโปร่งใส ความยั่งยืน และความน่าเชื่อถือของทองคำไทยในตลาดโลก

เดินหน้า “อิฐบล็อกจากหางแร่”

ดร.พีช หอมชื่น อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมเหมืองแร่และปิโตรเลียม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงความคืบหน้าการวิจัยต่อยอด “หางแร่” สู่การใช้งานเชิงพาณิชย์ ว่า ตั้งแต่ “ขั้นตอนการสำรวจแร่” ไปจนถึงการดำเนินงานทุกกระบวนการ ทำให้อัครากลายเป็นต้นแบบของเหมืองที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และถูกใช้เป็น “โรงเรียนภาคสนาม” สำหรับนิสิตและผู้ประกอบการที่ต้องการเรียนรู้แนวทางเหมืองยุคใหม่

หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นคือ “อิฐบล็อกจากหางแร่” ที่เกิดจากการนำของเสียจากกระบวนการผลิต ซึ่งมีทองคำเพียง 0.3–0.5 กรัมต่อหินหนึ่งตัน กลับมาใช้ประโยชน์แทนการทิ้ง โดยวัสดุดังกล่าวผ่านการทดสอบด้านโยธา ทั้งความแข็งแรง การดูดซึมน้ำ และมาตรฐานงานก่อสร้างที่จำเป็น พร้อมพัฒนาให้ปรับใช้ได้มากที่สุดเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ช่วยลดของเสียและเพิ่มคุณค่าให้กับวัสดุเหลือทิ้งอย่างยั่งยืน

ก้าวใหม่ของงานวิจัยซีเมนต์ชีวภาพ

ดร.พีช กล่าวอีกว่า ขณะนี้โครงการวิจัยก้าวเข้าสู่ ปีที่ 2 โดยมุ่งทดสอบความเป็นไปได้ของการนำหางแร่ไปใช้เป็นส่วนประกอบ วัสดุดักคาร์บอน และเป็นวัตถุดิบทดแทนซีเมนต์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ปล่อยคาร์บอนสูงที่สุดในภาคก่อสร้าง ทั้งนี้เงื่อนไขสำคัญที่บริษัทฯ วางไว้คือ วัสดุต้อง ปลอดภัย ไม่ก่อสารรั่วไหล เมื่อนำไปใช้เป็นชิ้นส่วนก่อสร้างหรือผลิตภัณฑ์ชุมชน

นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่มีพัฒนาการโดดเด่น คือการนำหางแร่ผสมทราย แบคทีเรียจุลินทรีย์ และเปลือกไข่ พัฒนาเป็น “ซีเมนต์ชีวภาพ” (self-healing bio-cement) ที่สามารถซ่อมแซมรอยแตกร้าวเองได้ โดยกำลังทดสอบการใช้งานสำหรับงานโครงสร้างขนาดเล็ก เช่น คลองส่งน้ำ หรือพื้นที่ป้องกันการไหลซึมของน้ำจืด–น้ำเค็ม

“หากผลทดสอบเชิงอุตสาหกรรมให้ตัวเลขชัดเจน ก็พร้อมเดินหน้าระยะต่อไปทันที และจะต่อยอดเพื่อทดแทนการใช้ซีเมนต์ในบางส่วนของคอนกรีต ซึ่งมีศักยภาพในการลดคาร์บอนอย่างมีนัยสำคัญ” ดร.พีช กล่าว