ในช่วงที่ปัญหา “ภาวะหมดไฟในการทำงาน” และสุขภาพจิตของคนทำงานเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง องค์กรไทยกำลังถูกตั้งคำถามสำคัญว่า “พร้อมรับอนาคตในอีก 10 ปีข้างหน้ามากน้อยเพียงใด” ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต เผยว่า คนวัยทำงานในกรุงเทพฯ ราว 12% อยู่ในภาวะเบิร์นเอาท์ (Burnout Syndrome) และอีกกว่า 57% อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่ภาวะดังกล่าว
ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นแนวโน้มที่น่ากังวลว่า ยิ่งอายุน้อยยิ่งเสี่ยงต่อการหมดไฟมากขึ้น โดย Gen Z หรือผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 22 ปี มีภาวะหมดไฟสูงที่สุดถึง 17% ขณะที่ Gen Y อายุ 23–38 ปี พบภาวะใกล้เคียงกันที่ 13% ในทางกลับกัน กลุ่ม Baby Boomer อายุ 55–73 ปี กลับมีอัตราหมดไฟเพียง 7% สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายด้านสุขภาพจิตในกลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ที่องค์กรไทยไม่อาจมองข้าม
วิทยาลัยการจัดการมหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) จึงร่วมกับสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดผลการคาดการณ์ฉากทัศน์อนาคต “Foresight 2035 and Strategic Roadmap: Future of Well-being Organizations” เจาะลึกสัญญาณความเปลี่ยนแปลงและฉากทัศน์สุขภาวะองค์กรทั้งประเทศ ด้วย 4 องค์กรหลักได้แก่ เอกชน-รัฐ-วัด-มหาวิทยาลัย ผ่าน 16 ฉากทัศน์ ตั้งแต่ฉากทัศน์ในอุดมคติ ความเสี่ยงที่ต้องเผชิญ ไปจนถึงสิ่งที่ต้องรับมือ

พงษ์ศักดิ์ ธงรัตนะ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร (สำนัก 8) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยว่า คนวัยทำงานเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศ สุขภาวะของแรงงานจึงเป็นฐานรากที่จะกำหนดทิศทางอนาคตของประเทศ หากคนทำงานมีสุขภาพกายและใจที่ดี ประสิทธิภาพการทำงานก็จะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้องค์กรเติบโต แข็งแกร่ง และนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศโดยรวม
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา การสร้างเสริมสุขภาวะในองค์กรไทยส่วนใหญ่ยังเป็นเพียงโครงการระยะสั้น ขาดความต่อเนื่อง ไม่มีทิศทางพัฒนาที่ชัดเจน และยังไม่เชื่อมโยงกับเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะองค์กรยังไม่เห็นภาพอนาคตที่จะต้องเผชิญ จึงมักแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ไม่สามารถวางแผนเชิงป้องกันได้ การคาดการณ์อนาคต (Foresight) จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรไทยมองเห็นความเสี่ยงในอีก 10 ปีข้างหน้า และเตรียมการรับมือได้อย่างทันท่วงที

โครงการ “Foresight 2035 and Strategic Roadmap: Future of Well-being Organizations” จึงได้วิเคราะห์ฉากทัศน์ขององค์กรสุขภาวะในอีกทศวรรษหน้า ครอบคลุม 4 กลุ่ม ได้แก่ องค์กรเอกชน หน่วยงานรัฐ องค์กรในพระพุทธศาสนา (วัด) และมหาวิทยาลัย พร้อมจัดทำแนวทางพัฒนาสุขภาวะองค์กรในระยะสั้น กลาง และยาว ให้เหมาะสมกับบริบทแต่ละประเภทองค์กรจึงมีความสำคัญ เพื่อให้ทุกภาคส่วนมี Roadmap เชิงรุกสู่การวางระบบการเสริมสร้างสุขภาวะองค์กร เตรียมพร้อมรับมือความท้าทายในปัจจุบันและอนาคต

รศ.ดร.ณัฐสิทธิ์ เกิดศรี หัวหน้าทีมวิจัยโครงการฯ กล่าวว่า กระบวนการ Strategic Foresight สำหรับคาดการณ์อนาคตสุขภาวะองค์กร เริ่มจากการวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมตามกรอบ PESTEL 6 ด้าน ได้แก่ การเมือง เศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และกฎหมาย เพื่อมองเห็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ต่อมาคือการจัด Focus Group ระดมความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญกว่า 100 คน จาก 4 องค์กรเป้าหมาย ได้แก่ ภาคเอกชน หน่วยงานรัฐ วัด และมหาวิทยาลัย โดยนำข้อมูลเชิงลึกที่ได้มาวิเคราะห์ฉากทัศน์อนาคตผ่าน Scenario Planning แบบ 2×2 Matrix ใช้ 2 แกนหลักคือ Policy Engagement หรือการสนับสนุนนโยบายจากผู้บริหาร และ Mindset/Motivation หรือทัศนคติและแรงจูงใจของบุคลากร เมื่อผสานกันจะเกิดฉากทัศน์ 4 รูปแบบ ตั้งแต่ดีที่สุดไปจนถึงเลวร้ายที่สุด

หลังจากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนการเลือกฉากทัศน์เป้าหมาย พร้อมออกแบบกลยุทธ์เพื่อมุ่งไปสู่อนาคตที่ต้องการ ก่อนสรุปผลเป็น Strategic Roadmap ระยะสั้น 1–2 ปี ระยะกลาง และระยะยาว ให้แต่ละองค์กรสามารถนำไปใช้จริงในการพัฒนาสุขภาวะของคนทำงานจนถึงปี 2035
“จากการวิเคราะห์ตามกรอบ PESTEL พบว่าทุกองค์กรต้องเผชิญแรงกดดันเดียวกันสองประเด็นใหญ่ ได้แก่ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งทำให้กำลังแรงงานลดลงและค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเพิ่มสูงขึ้น และกระแส AI-Digital-Automation ที่เปลี่ยนทิศทางการทำงานอย่างรวดเร็วจนทักษะเดิมเสี่ยงล้าสมัย” รศ.ดร.ณัฐสิทธิ์ กล่าว
ขณะเดียวกัน แต่ละองค์กรยังมีโจทย์เฉพาะที่ต้องเผชิญ เช่น ภาคเอกชนถูกกดดันจากปัญหาหนี้ครัวเรือน ภาครัฐเผชิญความไม่แน่นอนทางการเมือง วัดต้องรับมือกฎหมายล้าหลังและปัญหาสิ่งแวดล้อม ส่วนมหาวิทยาลัยเผชิญอัตราการว่างงาน ปัญหาสุขภาพจิต และมลพิษ PM2.5 ที่กระทบคนรุ่นใหม่โดยตรงด้าน

ผศ.ดร. บุญยิ่ง คงอาชาภัทร หัวหน้าโครงการจัดทำแผนที่นำทางและการคาดการณ์อนาคตเชิงยุทธศาสตร์ งานสร้างเสริมสุขภาวะองค์กร สสส.กล่าวว่า งานวิจัยใช้โมเดลวิเคราะห์ฉากทัศน์จาก 2 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ ระดับนโยบายจากผู้บริหาร และทัศนคติของบุคลากร ซึ่งเมื่อนำมาผสานกันจะเกิด 4 ฉากทัศน์ 1.นโยบายชัดและบุคลากรพร้อมร่วมมือ, นโยบายดีแต่บุคลากรไม่เห็นคุณค่า, บุคลากรพร้อมแต่นโยบายไม่ชัด และเลวร้ายที่สุดเมื่อทั้งนโยบายและบุคลากรไม่สนใจ โดยผลวิเคราะห์พบฉากทัศน์สำคัญในแต่ละองค์กรดังนี้
ภาคเอกชน หากมีระบบสุขภาวะที่ต่อเนื่องและเข้มแข็ง จะก้าวสู่ “องค์กรสุขภาวะยั่งยืน” แต่หากละเลยจะเสี่ยงเข้าสู่ “วังวนองค์กรแห่งปัญหา” ที่เต็มไปด้วยภาวะหมดไฟและต้นทุนสุขภาพสูง
หน่วยงานรัฐ หากนโยบายและทัศนคติไปในทิศทางเดียวกัน รัฐจะมีบุคลากรคุณภาพและบริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ ตรงข้ามกับฉากทัศน์ “สุขภาวะราชการล้มเหลว” ซึ่งเกิดจากการขาดการสนับสนุนจนทำให้คุณภาพงานและความเชื่อมั่นของประชาชนลดลง
วัด หากขับเคลื่อนสุขภาวะอย่างจริงจังจะเป็น “วัดประชาสร้างสุข” และเป็นศูนย์กลางสุขภาพชุมชน แต่หากขาดการดูแล วัดอาจเผชิญปัญหาความเสื่อมศรัทธาและสุขภาวะของพระสงฆ์ที่ย่ำแย่
มหาวิทยาลัย หากมีระบบดูแลสุขภาวะครบวงจร จะเป็น “มหาวิทยาลัยสุขภาวะต้นแบบ” แต่หากละเลยจะทำให้บุคลากรหมดไฟ อัตราป่วยเพิ่มขึ้น และส่งผลกระทบต่อคุณภาพบัณฑิตและชื่อเสียงของสถาบัน
“นโยบายและทัศนคติต้องไปด้วยกัน ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ แม้องค์กรจะมีสวัสดิการดีเพียงใด แต่ถ้าบุคลากรไม่เห็นคุณค่า ก็เป็นการสูญเปล่า ขณะเดียวกันหากบุคลากรพร้อมพัฒนาแต่ไม่ได้รับการสนับสนุน ก็ย่อมเสี่ยงหมดไฟและลาออกในที่สุด ดังนั้นการพัฒนาต้องขับเคลื่อนทั้งสองด้านควบคู่กัน” ผศ.ดร.บุญยิ่ง กล่าว
หากไทยไม่เร่งวาง Roadmap อย่างจริงจัง องค์กรจำนวนมากอาจติดอยู่ในฉากทัศน์ ที่ 2-3-4 ผลที่จะตามมาไม่ใช่เพียงจำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่เพิ่มขึ้นหรือค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่พุ่งสูงขึ้นเท่านั้น แต่จะกระทบถึงผลิตภาพแรงงาน ความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ และความยั่งยืนของระบบเศรษฐกิจโดยรวม
ขณะที่ภาครัฐจะต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล หากไม่สามารถเตรียมการรับมือ และเตรียมการป้องกันได้ทันเวลา ในทางกลับกัน หากทุกภาคส่วนใช้ Roadmap นี้ เป็นแผนที่นำทาง เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ขององค์กร ความเป็นไปได้ที่จะเกิดฉากทัศน์ในอุดมคติทั้ง “องค์กรสุขภาวะยั่งยืน” “องค์กรรัฐสุขยั่งยืน” “วัดประชาสร้างสุข” และ “มหาวิทยาลัยสุขภาวะต้นแบบ” จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ