โลกวันนี้กำลังเผชิญความท้าทายด้านความยั่งยืนที่ซับซ้อนขึ้น ทั้งปัญหาสภาพภูมิอากาศ ห่วงโซ่อุปทานที่เปราะบาง ปริมาณขยะที่เพิ่มสูง รวมถึงมาตรฐาน ESG ที่รัดกุมกว่าเดิม ประเด็นเหล่านี้ทำให้องค์กรต่าง ๆ ต้องปรับระบบการทำงานให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนมากขึ้น “เครือเจริญโภคภัณฑ์“ หรือ “ซีพี” โดยสำนักบริหารความยั่งยืน ธรรมาภิบาล และสื่อสารองค์กร (SGC) จึงจัดประชุม “CP Sustainability Synergy Forum 2025” เพื่อเป็นพื้นที่สำหรับแต่ละกลุ่มธุรกิจมาร่วมกันวางแนวทางพัฒนาในประเด็นเหล่านี้อย่างเป็นระบบ
การประชุมยังเป็นโอกาสในการพัฒนาบทบาทของ SGC ให้ทำหน้าที่เป็น “CP Sustainability Center of Excellence (COE)” ศูนย์กลางด้านความยั่งยืนที่ช่วยเชื่อมโยงมาตรฐาน เครื่องมือ และระบบการทำงานร่วมกันตลอดห่วงโซ่คุณค่า เพื่อให้การดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับแนวคิดการสร้างคุณค่าที่สมดุลทั้งต่อธุรกิจและสังคมในระยะยาว

ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กรและการพัฒนากลยุทธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า ความยั่งยืนได้กลายเป็นวาระสำคัญของโลกที่ภาคธุรกิจต้องเร่งรับมือ ตั้งแต่ภาวะโลกร้อน ความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน ปริมาณขยะและมลพิษที่เพิ่มขึ้น ความเหลื่อมล้ำทางสังคม ไปจนถึงภัยไซเบอร์และกฎเกณฑ์ด้านธรรมาภิบาลที่เข้มขึ้น ซึ่งกำลังกดดันให้องค์กรต้องพัฒนาไปสู่กระบวนการความยั่งยืนที่ตรวจสอบได้ มีมาตรฐาน และวัดผลได้จริง ซีพีจึงยกระดับ “สำนักบริหารความยั่งยืนฯ” สู่บทบาท CP Sustainability Center of Excellence (COE) ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางด้านความยั่งยืนทั้งเครือ เพื่อวางกรอบมาตรฐานร่วม พัฒนานวัตกรรม ลดคาร์บอน เสริมความโปร่งใสในซัพพลายเชน และสร้างแพลตฟอร์มความร่วมมือในระดับประเทศและระดับโลก
“สำหรับ “ซีพี” ความยั่งยืนไม่ใช่เพียงการจัดทำรายงาน แต่ต้องสร้างมูลค่าทางธุรกิจควบคู่ไปด้วยผ่าน 8 มิติหลัก ได้แก่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ยั่งยืน, บริการยกระดับ ESG ให้หน่วยธุรกิจ, การให้คำปรึกษาภายนอก, การบริหารคาร์บอนเครดิต, กลไกการเงินสีเขียว, การแปลงของเสียเป็นมูลค่า, ระบบไลเซนส์และพรีเมียมแบรนด์ และการสร้างมูลค่าจากข้อมูลดิจิทัล ซึ่งทั้งหมดต้องอาศัยการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน เจ้าภาพที่รับผิดชอบจริง พันธมิตรที่ร่วมมือกัน และเครื่องมือสนับสนุนอย่างเทคโนโลยี เงินทุน และการแบ่งปันองค์ความรู้ เพื่อให้ความยั่งยืนกลายเป็นระบบขับเคลื่อนธุรกิจที่สร้าง Impact ได้จริง”ดร.ธีระพล กล่าว
อย่างไรก็ตาม องค์กรยังต้องตั้งคำถามสำคัญ เช่น สัดส่วน “อาหารเพื่อสุขภาพจริง” ในพอร์ตสินค้าทั้งหมดมีเพียงใด และร้านสะดวกซื้อควรเพิ่มตัวเลือกสุขภาพมากขึ้นเพียงใด ขณะที่ด้านสิ่งแวดล้อมยังมีโจทย์ใหญ่ใน Circular Economy การลดของเสีย การจัดการมลพิษ และการปล่อยคาร์บอน
ซีพียังคงเดินหน้าสู่เป้าหมาย ลดการปล่อย……ปี 2030 และ Net Zero ปี 2050 แม้จะติดตั้งโซลาร์เซลล์เกือบทุกหลังคาแล้ว แต่พลังงานสะอาดยังมีเพียง 17% จากข้อจำกัดการจำหน่ายไฟ เทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ยังไม่คุ้มค่า และกฎเกณฑ์พลังงานใหม่ที่ยังไม่เอื้อต่อการเติบโต
ความสำเร็จด้านความยั่งยืนไม่สามารถทำได้เพียงองค์กรเดียว โดยเฉพาะการลดคาร์บอนที่กว่า 80–90% อยู่ในห่วงโซ่คุณค่าที่ต้องทำงานร่วมกับคู่ค้า จึงต้องสร้าง “แรงกระเพื่อม” ผ่านการบริหารแบบ Center of Excellence (COE) ที่ดึงผู้เชี่ยวชาญจากทุกบริษัทในเครือและพันธมิตรภายนอกมาร่วมขับเคลื่อนโปรเจกต์ร่วมกัน พร้อมนำกรณีศึกษาจากหลายบริษัทในเครือ มานำเสนอเพื่อยกระดับองค์ความรู้แบบเป็นระบบ
“ทิศทางใหม่ของทีมความยั่งยืนคือการขยับจาก “ฝ่ายรายงาน” ไปสู่บทบาท Innovation & Business Value Center นำความรู้ที่สั่งสมมาต่อยอดสร้างผลิตภัณฑ์ โซลูชัน และความร่วมมือทางธุรกิจในยุคที่ความต้องการด้านความยั่งยืนและการเงินสีเขียวกำลังเติบโตทั่วโลก เพื่อให้ความยั่งยืนไม่ใช่เพียงนโยบาย แต่เป็นพลังที่ผลักดันองค์กรและสังคมสู่อนาคตอย่างแท้จริง” ดร.ธีระพล กล่าว
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการนำเสนอกรณีศึกษาความสำเร็จเชิงรูปธรรมจากโครงการต่าง ๆ ของบริษัทในเครือที่ช่วยผลักดัน 3 Big Goals ตามหมุดหมายของซีพี ได้แก่ Net Zero 2050, Zero Waste to Landfill 2030 และ Education for Equality มาสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง พร้อมถ่ายทอดผ่านตัวอย่างจากผู้บริหาร 3 กลุ่มธุรกิจ สะท้อนให้เห็นว่าเป้าหมายระดับเครือกำลังแปรเปลี่ยนเป็นการลงมือทำที่จับต้องได้

ดร.เนตรชนก วิภาตะศิลปิน หัวหน้าสายงานด้านความยั่งยืนองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ดูแล Connext ED กล่าวว่า เทคโนโลยีต้องเป็นสะพานให้เด็กทุกคนเข้าถึงโอกาสที่เท่าเทียม เราเริ่มจาก ‘ทรูปลูกปัญญา’ ทำงานกับ 6,000 โรงเรียน สร้างแพลตฟอร์ม VLEARN ให้เด็กทั่วประเทศใช้งานฟรี และต่อมาศุภชัย เจียรวนนท์ ได้ต่อยอดสู่ Connext ED ที่ดึงทุกภาคส่วนมาร่วมยกระดับการศึกษา วันนี้ School Management System ถูกใช้ในโรงเรียนกว่า 30,000 แห่ง ระดมทุนผ่าน Crowdfunding ได้กว่า 115 ล้านบาท พัฒนา ICT Talent เกือบ 20,000 คน และมี Learning Center กว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศ เป้าหมายของเราคือให้คนไทย 36 ล้านคนเข้าถึงการเรียนรู้ที่เท่าเทียมภายในปี 2030 เพราะเด็กไทยทุกคนสมควรมีโอกาส และเราต้องร่วมกันทำให้เกิดขึ้นจริง”
ศิริพร เดชสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจของซีพีแอ็กซ์ตร้าเป็นตัวกลางระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค เรามีการจัดการขยะอาหารและขยะพลาสติกตลอดห่วงโซ่อุปทานได้ดี โดยทำได้ด้วยนวัตกรรมช่วยยืดอายุสินค้า ใช้ระบบการสั่งสินค้าให้พอดี ใช้ประโยชน์จากอาหารส่วนเกินด้วยนวัตกรรมสีเขียว และทำจุดเก็บขยะพลาสติกในทุกสาขา เพื่อเป้าหมายลดขยะให้เป็นศูนย์ และสร้างมูลค่าสูงสุดทางเศรษฐกิจและสังคม
วรพจน์ สุรัตวิศิษฎ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) เผยถึงโครงการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ว่า ประเทศไทยมีพื้นที่บุกรุกป่าถึง 66 % ซึ่งมาจากการปลูกข้าวโพด มันสำปะหลัง และกากถั่วเหลือง ดังนั้น ระบบการตรวจสอบย้อนกลับของเรา ซึ่งเริ่มทำและพัฒนามากว่า 10 ปีแล้ว ทำให้เราเป็นรายแรกและเรายเดียวในประเทศที่ทำระบบนี้ขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีและระบบดาวเทียมในการตรวจจับ ระบบนี้จะช่วยสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน ปราศจากการบุกรุกทำลายป่าและการเผาแปลง ซึ่งนำไปสู่เป้าหมาย Net Zero 2050 ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในอนาคต
การจัดเวที “CP Sustainability Synergy Forum 2025” และการวางตำแหน่ง CP Sustainability Center of Excellence (COE) ในครั้งนี้ จึงไม่เพียงเป็นก้าวสำคัญของเครือเจริญโภคภัณฑ์ในการยกระดับมาตรฐานความยั่งยืนขององค์กรและห่วงโซ่คุณค่าทั้งระบบเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำบทบาทของภาคเอกชนไทยในการร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก ผ่านการลงมือทำที่จับต้องได้ ภายใต้ค่านิยม “3 ประโยชน์” เพื่อประเทศชาติ ประชาชน และองค์กร ไปพร้อมกับการสร้างอนาคตที่ดีและยั่งยืนให้คนรุ่นต่อไป