“MFLF Sustainability Forum 2025” เปิดเวทีขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านของไทยสู่เศรษฐกิจที่แข่งขันได้บนฐานความยั่งยืน


MFLFSustainabilityForum2025 ภายใต้แนวคิด “วิกฤตโลก ทางออกไทย” จัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแนวทางสู่ความยั่งยืนระดับประเทศและระดับ โดย ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ ประธานกรรมการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวปาฐกถาเปิดงาน โดยเน้นย้ำถึงปรัชญาสำคัญที่มูลนิธิยึดมั่นมาโดยตลอดว่า “คน สังคม ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม คือองค์ประกอบที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้” หากมนุษย์ได้รับการโอบอุ้มจากธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย ก็ย่อมจะสามารถใช้ศักยภาพของตนในการสร้างสรรค์การเปลี่ยนแปลงที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมได้ แต่หากเพิกเฉยต่อผลกระทบที่เกิดจากธรรมชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งแวดล้อมก็จะถูกบั่นทอนลง และไม่อาจนำไปสู่ความยั่งยืนที่แท้จริง

ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงได้นำองค์ความรู้และประสบการณ์จากโครงการพัฒนาดอยตุง มาสานต่อเป็น “ตำราแม่ฟ้าหลวง” ที่ยึดหลัก การปลูกป่า ควบคู่กับการปลูกคน เพื่อต่อยอดสู่การทำงานในพื้นที่ป่าชุมชนอย่างเป็นระบบ โดยได้รับการสนับสนุนจากพระราชบัญญัติป่าชุมชน และความร่วมมืออย่างเข้มแข็งจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมป่าไม้ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก รวมถึงภาคเอกชนกว่า 25 หน่วยงาน จุดยืนของมูลนิธิไม่ใช่การแสวงหากำไร แต่คือการทุ่มเทสร้างความยั่งยืนในทุกมิติและทุกกระบวนการ

ปัจจุบันสามารถอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชุมชนได้แล้วกว่า 250,000 ไร่ พร้อมทั้งเสริมสร้างศักยภาพของชุมชนที่อาศัยอยู่ร่วมกับป่าให้มีความรู้ ความสามารถในการดูแลรักษาทรัพยากร ป้องกันไฟป่า และแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศอย่าง PM2.5 ควบคู่กับการพัฒนาอาชีพที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและธรรมชาติ ซึ่งไม่เพียงช่วยรักษาสมดุลของระบบนิเวศ แต่ยังสร้างรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้คนในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน

T-VER สะพานเชื่อมผลประโยชน์สู่ประชาชน

ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช

ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยถึงสถานการณ์ป่าของโลกในปี 2567 ที่ผ่านมา โดยอ้างอิงข้อมูลจากสถาบันทรัพยากรโลก (World Resources Institute: WRI) ว่า ปัญหาการสูญเสียพื้นที่ป่าส่วนใหญ่เกิดจากไฟป่า ซึ่งขยายวงกว้างจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดและแห้งแล้ง ส่งผลให้ผืนป่าทั่วโลกหายไปกว่า 42 ล้านไร่ หรือเกือบครึ่งหนึ่งของพื้นที่ป่าทั้งหมดในประเทศไทย ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนแรงกดดันที่ไม่เพียงเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ยังรวมถึงกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่หลายประเทศรวมทั้งไทยต้องเร่งปรับตัวเพื่อเดินหน้าสู่ความยั่งยืน แม้ในอีกด้านกฎเกณฑ์เหล่านี้อาจเป็นอุปสรรคหากภาคส่วนต่าง ๆ ยังไม่พร้อมรองรับ

โครงการ T-VER

“การขยายผลความร่วมมือที่เป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชนในพื้นที่  โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เราต้องขยายผลสิ่งที่ทำได้ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งให้กระจายไปพื้นที่อื่น ๆ ให้ได้ ขณะที่รัฐต้องเน้นการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่รองรับการเปลี่ยนผ่านประเทศสู่ประเทศคาร์บอนต่ำและการเพิ่มพูนทรัพยากรธรรมชาติ ต้องมองให้เห็นเป้าหมายระยะยาวของประเทศและกำหนดเส้นทาง (Pathway) ที่จะเดินไปให้ถึง เพราะไม่ว่ารัฐบาลจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร Pathway จะยังคงอยู่ หนึ่งในกลไกสำคัญคือการเชื่อมโยงคาร์บอนเครดิตจากโครงการ T-VER เข้ากับตลาดคาร์บอนภาคบังคับ ซึ่งจะช่วยกระจายประโยชน์จากภาครัฐลงไปถึงประชาชนได้อย่างแท้จริง” ดร.พิรุณ กล่าว

คาร์บอนเครดิตทะลุเป้า 4 เท่า

ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล

ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า บทบาทสำคัญของชุมชนและทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนความยั่งยืน โดยชี้ให้เห็นว่าการส่งมอบคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชนในวันนี้เกินกว่าเป้าหมายที่คาดไว้ถึง 4 เท่า นับเป็นเครื่องยืนยันว่าการทำงานอย่างหนักและความร่วมมือที่เกิดขึ้นก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริง

MFLF Sustainability Forum 2025

ที่ผ่านมามูลนิธิแม่ฟ้าหลวงได้ดำเนินการปิดโครงการไปแล้วประมาณ 33,000 ไร่ในปีนี้ ซึ่งปัญหาส่วนหนึ่งมาจากสภาพเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ส่งผลให้หลายบริษัทลดปริมาณการสนับสนุนการดูแลพื้นที่ป่าลง แต่ในอนาคตคาดว่าจะมีความต้องการโครงการลักษณะนี้เพิ่มมากขึ้น โดยวางเป้าหมายไว้ที่ 120,000 ไร่ และได้อธิบายหลักการให้ภาคเอกชนเข้าใจชัดเจนว่ารายได้ที่สนับสนุนโครงการนั้น ร้อยละ 55 จะถูกส่งตรงลงไปที่ชุมชน ส่วนที่เหลือใช้เป็นงบประมาณสำหรับการขึ้นทะเบียนและบริหารจัดการ

สำหรับการคำนวณคาร์บอนเครดิตเบื้องต้นนั้นอยู่ที่ประมาณ 0.5 ตันต่อไร่ โดยมีการการันตีขั้นต่ำที่ 0.3 ตันต่อไร่ต่อปี เริ่มนับตั้งแต่ปีที่ 4 หลังการทวนสอบ และหากผลลัพธ์สูงกว่าที่ประเมินไว้ ต้นทุนการสนับสนุนของภาคเอกชนก็จะยิ่งต่ำลง โดยในปีที่ผ่านมา ตัวเลขจริงอยู่ที่ 1.8 ตันต่อไร่ต่อปี ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึง 4 เท่า แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความเป็นไปได้ที่โครงการลักษณะนี้จะสร้างทั้งคุณค่าทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน

“ความยั่งยืนไม่อาจมองแค่ช่วง 5 หรือ 10 ปี แต่ต้องมองไปถึงคนรุ่นถัดไปที่อาจได้รับผลกระทบจากสิ่งที่เราทำในวันนี้ ดังนั้นเศรษฐกิจและความยั่งยืนจึงเป็นเรื่องเดียวกัน ที่ต้องเดินไปด้วยกัน และจำเป็นต้องมีกติกาใหม่ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง พร้อมทั้งรักษาพื้นที่ให้ชุมชนเป็นเจ้าของการพัฒนาของตนเอง” ม.ล.ดิศปนัดดา กล่าว

GDP ต้องโตไปพร้อมสิ่งแวดล้อม

ปิยะชาติ อิศรภักดี

ปิยะชาติ อิศรภักดี ประธานร่วม BRANDi Institute of Systematic Transformation (BiOST) กล่าวว่า ความยั่งยืนต้องถูกยกระดับให้เป็นวาระหลักของทุกภาคส่วนและสามารถปฏิบัติได้จริงจนถึงระดับบุคคล โดยต้องมองระยะยาวแต่สร้างผลกระทบระยะสั้นให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม พร้อมชี้ว่าภาคนโยบายจำเป็นต้องทำให้เศรษฐกิจกับความยั่งยืนเป็นเรื่องเดียวกัน หากไม่เร่งเปลี่ยนผ่าน เศรษฐกิจเดิมก็ไม่สามารถเติบโตได้ ขณะที่เศรษฐกิจใหม่ที่มีความยั่งยืนเป็นหัวใจก็ไม่เกิดขึ้น ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายคือการที่ GDP โตขึ้นแต่ยังต้องกลับมาแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคมอยู่ดี

อย่างไรก็ตาม การเติบโตในยุคต่อไปต้องเกิดจากการแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน และหากธุรกิจทำเรื่องความยั่งยืนแล้ว ต้องสร้างผลกำไรควบคู่ไปด้วย ส่วนภาคประชาชนต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวันด้วยการเริ่มทำสิ่งเล็ก ๆ อย่างต่อเนื่องทุกวัน เพื่อให้ความยั่งยืนกลายเป็นพฤติกรรมที่หยั่งรากลึก

นอกจากนี้ ภาคเกษตรยังนับเป็นทางออกสำคัญของประเทศ โดยต้องพัฒนาตลอดห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ พร้อมเน้นการพัฒนาคนให้เข้าใจและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่าและยั่งยืน ซึ่งจะช่วยให้เกิดการกระจายประโยชน์ลงไปถึงชุมชนอย่างแท้จริง

การเงินไทยปลดล็อกทุนสู่ความยั่งยืน

ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ภาคการเงินต้องมีบทบาทในการทำงานทั้งระบบ ตั้งแต่การสร้างองค์ความรู้เพื่อช่วยธุรกิจปรับตัวสู่ความยั่งยืน ไปจนถึงการปลดล็อคเงินทุนเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่าน เขาอธิบายว่าการเติบโตในอดีตมักใช้สมการเดิมที่นำพลังงาน ทุนมนุษย์ และทรัพยากรธรรมชาติมาเป็นต้นทุนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่แนวทางใหม่จำเป็นต้องเปลี่ยนให้ระบบเศรษฐกิจกลายเป็นกลไกที่ทำให้ภาคพลังงานยั่งยืน แก้ปัญหาสังคม และฟื้นฟูธรรมชาติไปพร้อมกัน

ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ธนาคารสามารถลดคาร์บอนอีมิชชันใน Scope 1 และ 2 ได้แล้ว 10% ขณะเดียวกันยังปรับสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากพอร์ตสินเชื่อ โดยเพิ่มน้ำหนักของโครงการสีเขียว ทำให้ภาพรวมการปล่อยคาร์บอนลดลงได้ราว 4%

“ต่อไปเวลาพบปะกัน องค์กรต่าง ๆ ควรเริ่มต้นบทสนทนาด้วยการถามถึง “คาร์บอนอีมิชชันเป็นอย่างไรบ้าง” เพราะเมื่อทุกฝ่ายพูดถึงและให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง ความก้าวหน้าด้านความยั่งยืนก็จะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น” ดร.กรินทร์ กล่าว

คาร์บอนเครดิตเสริมรายได้ชุมชนพะเยา

ทอน ใจดี ประธานเครือข่ายป่าชุมชน จังหวัดพะเยา กล่าวว่า ชุมชนทางภาคเหนืออยู่ร่วมกับป่าอยู่แล้ว ในการดูแลรักษาป่าก็จะช่วยกันดูแล เมื่อมีโครงการคาร์บอนเครดิตเข้ามา ชุมชนได้รับการสนับ สนุนให้ดูแลผืนป่ากว่า 945 ไร่ ได้คาร์บอนเครดิต 11,000 ตัน หรือ 4 ตัน/ไร่/ปี ซึ่งถือเป็นแหล่งเงินสนับสนุนที่ช่วยให้ชุมชนสามารถดูแลป่าได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงกองทุนพัฒนาอาชีพที่เป็นหนึ่งในกลไกของโครงการคาร์บอนเครดิตของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ก็ช่วยพัฒนาเรื่องงานจักรสานของกลุ่มผู้หญิงและผู้สูงอายุ ทำให้มีรายได้เกินเกณฑ์ 20,000 บาท เรียบร้อยแล้ว

การจัดงาน MFLF Sustainability Forum 2025 ครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นเวทีแห่งปีในการระดมความคิดและความร่วมมือ และร่วมหาทางออกด้านความยั่งยืน แต่ยังสะท้อนพันธกิจระยะยาวของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ที่จะยืนหยัดเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยสู่เศรษฐกิจที่แข่งขันได้บนฐานความยั่งยืน โดยมีทั้งเวทีนี้และกิจกรรมอื่นๆ เป็นกลไกสำคัญที่จะผลักดันให้ “ความยั่งยืน” กลายเป็นพลังขับเคลื่อนจริงในระดับบุคคล องค์กร และประเทศ