ศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center: ENC) เปิดฉากก้าวสู่ทศวรรษใหม่ด้วยการจัดสัมมนา “ความท้าทายพลังงานไทย เปลี่ยนผ่านอย่างไรให้ยั่งยืน” สะท้อนบทบาทสื่อที่ยืนหยัดนำเสนอข้อมูลพลังงานอย่างรอบด้านตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ในเวทีครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานย้ำเดินหน้านโยบาย Quick Big Win เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานให้พร้อมรองรับการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของประเทศ ขณะที่ปลัดกระทรวงพลังงานส่งสัญญาณชัดเจนถึงทิศทางใหม่ในแผน PDP โดยเตรียมบรรจุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) เป็นหนึ่งในกำลังผลิตอนาคต เพื่อผลักดันประเทศไทยสู่เป้าหมาย Net Zero ปี 2050 อย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน

อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่จากทั้งความไม่มั่นคงทางพลังงาน ภัยคุกคามไซเบอร์ และแรงกดดันในการเร่งเป้าหมาย Net Zero ให้เร็วขึ้น 15 ปี จากปี 2065 เป็นปี 2050 กระทรวงพลังงานจึงผลักดันนโยบาย Quick Big Win เพื่อเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน สร้างความมั่นคงระยะยาว รองรับความต้องการไฟฟ้าสะอาดที่เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะนำไปสู่การลงทุนรวมกว่า 1 ล้านล้านบาท ช่วยสร้างงานกว่า 30,000 ตำแหน่ง และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 10 ล้านตันต่อปี
เดินหน้าขยายการเข้าถึง “โซลาร์เพื่อประชาชน” กำลังผลิต 1,500 เมกะวัตต์
รัฐบาลได้เดินหน้าขยายการเข้าถึงพลังงานสะอาดให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน ตั้งแต่ชุมชน เกษตรกร ไปจนถึงหน่วยงานรัฐ ผ่าน 6 โครงการสำคัญ เช่น โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชนกำลังผลิต 1,500 เมกะวัตต์ ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ 30,000 ล้านบาท และลดการปล่อยคาร์บอน 0.919 ล้านตันต่อปี รวมถึงโครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร 250 ระบบที่ช่วยลดต้นทุนเกษตรกร เพิ่มผลผลิตต่อไร่ และสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจกว่า 400 ล้านบาทต่อปี
ขณะเดียวกัน หน่วยงานรัฐจะได้รับประโยชน์จากโครงการโซลาร์ภาครัฐที่ช่วยประหยัดค่าสาธารณูปโภคได้ถึง 9,000 ล้านบาทต่อปี ส่วนภาคครัวเรือน รัฐออกมาตรการลดหย่อนภาษีสูงสุด 200,000 บาท เพื่อจูงใจการติดตั้งโซลาร์รูฟ ตั้งเป้า 90,000 หลังคาเรือน คิดเป็นเงินลงทุนกว่า 20,000 ล้านบาททั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีโครงการโซลาร์ลอยน้ำบนเขื่อนหลักของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รวมกำลังผลิต 1,638 เมกะวัตต์ ช่วยลดต้นทุนไฟฟ้า เกิดการจ้างงานกว่า 5,000 ตำแหน่ง และลดการปล่อยคาร์บอนได้กว่า 8.24 แสนตันต่อปี
ผลักดัน “Direct PPA” พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพลังงานรองรับภาคอุตสาหกรรม
อรรถพล กล่าวว่า กระทรวงพลังงานพร้อมเปิดทางให้ผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ โดยเฉพาะดาต้าเซ็นเตอร์ เข้าถึงไฟฟ้าสะอาดผ่าน “Direct PPA 2,000 เมกะวัตต์” หรือสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสะอาดโดยตรงผ่านระบบโครงข่ายไฟฟ้า ซึ่งจะดึงดูดการลงทุนมากกว่า 60,000 ล้านบาท และลดการปล่อยคาร์บอนได้กว่า 1.66 ล้านตันต่อปี นอกจากนี้ยังเร่งพัฒนาระบบส่ง–จำหน่ายไฟฟ้าในพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้า 3,800 เมกะวัตต์ มูลค่าการลงทุนกว่า 580,000 ล้านบาท โดยข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ระบุว่า ขณะนี้มีโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ ที่ยื่นขอรับการส่งเสริมแล้วกว่า 30–40 แห่ง สะท้อนศักยภาพการเติบโตของอุตสาหกรรมไฟฟ้าเขียวในภูมิภาค

เร่งทำ PDP ใหม่ ดันไฮโดรเจน–SMR–CCS ปูทางอุตสาหกรรมพลังงานอนาคตสู่ Net Zero 2050
รัฐบาลได้จัดตั้งคณะกรรมการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับใหม่ภายใน 3 เดือน เพื่อกำหนดทิศทางพลังงานไทยจนถึงปี 2050 โดยแผนใหม่นี้จะบูรณาการเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ไฮโดรเจน โรงไฟฟ้าขนาดเล็กแบบโมดูลาร์ (SMR) และระบบดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) ซึ่งมีเป้าหมายกักเก็บคาร์บอนรวม 11 ล้านตันต่อปี จากแหล่งอาทิตย์และอ่าวไทยตอนบน และคาดว่าจะกระตุ้นการลงทุนกว่า 540,000 ล้านบาท พร้อมสร้างงานกว่า 11,000 ตำแหน่ง หากพื้นที่กักเก็บมีศักยภาพจริง ไทยจะมีโอกาสพัฒนาอุตสาหกรรมคาร์บอนเครดิตและ CCS ระดับภูมิภาคในอนาคต
พลังงานไทยต้องหาสมดุลใหม่ รับมือความมั่นคง–กรีน–ต้นทุนที่สวนทางกัน

ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ทางเลือกด้านพลังงานที่ประเทศไทยมีอยู่ในปัจจุบัน ยังไม่สามารถตอบโจทย์ 3 ด้านได้ครบถ้วนในเวลาเดียวกัน ทั้งด้านความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และต้นทุนพลังงานที่ประชาชนและภาคธุรกิจรับได้ หากเลือกเชื้อเพลิงหรือเทคโนโลยีที่เน้นความมั่นคง ก็อาจไม่ตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อม แต่ถ้าเน้นพลังงานสีเขียวมาก ต้นทุนอาจสูงและกระทบต่อความมั่นคงของระบบ
ขณะที่การพยายามตอบโจทย์ทั้งความมั่นคงและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมพร้อมกัน ก็มักนำไปสู่ต้นทุนค่าไฟที่สูงขึ้นจากการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ เช่น โซลาร์เซลล์ ไฮโดรเจน และระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ ทำให้ในทางปฏิบัติ ไทยจำเป็นต้อง “หาจุดสมดุล” ระหว่างทั้ง 3 ระบบไฟฟ้า ไทยจึงต้องพัฒนาขีดความสามารถในการบูรณาการพลังงานหมุนเวียนเข้ากับโครงข่ายหลักอย่างรอบคอบ ควบคู่กับการลงทุนในแหล่งสำรองและโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วย “อุ้ม” ความผันผวนของพลังงานทดแทนไม่ให้กระทบปลายทาง ทั้งแบตเตอรี่ ระบบกักเก็บพลังงานในรูปแบบต่าง ๆ ไปจนถึงโครงสร้างระบบที่สามารถดึงไฟจากแหล่งหนึ่งไปทดแทนอีกแหล่งได้อย่างทันท่วงที
“ท่ามกลางแรงกดดันจากเงื่อนไขการค้าและการลงทุนระดับโลกที่ผูกกับเป้าหมาย Net Zero ปี 2050 ขณะที่ไทยเองปล่อยก๊าซเรือนกระจกปีละราว 350–360 ล้านตัน โดยภาคพลังงานคิดเป็นราว 70% หรือประมาณ 250–260 ล้านตัน หากต้องเร่งเป้าไปสู่ Net Zero ในปี 2050 ประเทศไทยจะต้องลดการปล่อยลงเหลือเพียงประมาณ 80 ล้านตัน และอาศัยมาตรการชดเชย ทั้งการเพิ่มพื้นที่ป่าและเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) มาช่วย ซึ่งถือเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ที่ทำให้ทุกเครื่องมือด้านพลังงาน ตั้งแต่การเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน CCS ไปจนถึงไฮโดรเจน ต้องถูกนำมาใช้พร้อมกัน ภายใต้กรอบคิดเดียวกันคือ “รักษาสมดุล” ระหว่างความมั่นคง ความเขียว และราคาที่สังคมรับได้” ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าว
“SMR” ตัวแปรใหม่ในแผน PDP ไทย
ในแผน PDP ฉบับก่อน มีการบรรจุกำลังผลิตจากนิวเคลียร์ไว้ราว 600 เมกะวัตต์ แต่หากไทยตั้งเป้าไปสู่ Net Zero 2050 ก็แทบหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเพิ่มสัดส่วนนี้ขึ้นในแผน PDP ฉบับใหม่ เพราะพลังงานหมุนเวียนเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องพึ่งแบตเตอรี่ราคาแพงหรือระบบเสริมความมั่นคงอื่นๆ ดังนั้น รูปแบบพลังงานในอนาคตอาจต้องผสมผสานระหว่างพลังงานหมุนเวียนและ SMR เพื่อให้ตอบโจทย์ทั้งความมั่นคง ราคาเข้าถึงได้ และการลดคาร์บอน
อย่างไรก็ตาม เส้นทางนี้ยังต้องใช้เวลาอีกหลายปี โดยเฉพาะช่วง 5ปีแรกที่จะเน้นวางกติกา สร้างมาตรฐาน เตรียมบุคลากร และพิจารณาโครงสร้างองค์กรกำกับดูแล เมื่อระบบพร้อมแล้ว การสร้างโครงการต้นแบบแห่งแรกจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะหากต้นแบบสำเร็จ โครงการใหม่ๆ ไม่ว่าจะตั้งในนิคมอุตสาหกรรม เมืองใหญ่ หรือพื้นที่ที่ขาดความมั่นคงด้านพลังงานก็สามารถเกิดขึ้นได้ในอนาคต โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้แหล่งน้ำหรือทะเลเหมือนโรงไฟฟ้ารุ่นเก่า
PDP ใหม่เดินหน้า เปิดกว้างผู้เชี่ยวชาญ–เอกชน รับคลื่นโซลาร์เซลล์และผู้ผลิตไฟฟ้าใช้เอง

วัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า ความคืบหน้าการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับใหม่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2569 นับเป็นกระบวนการที่ยาวและซับซ้อนกว่าที่ผ่านมา ซึ่งการทบทวนรอบนี้ต้องเปิดกว้างมากขึ้น โดยในการประชุมอนุกรรมการจัดทำแผน PDP ครั้งแรกอย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้ มีการปรับโครงสร้างคณะทำงานให้น่าสนใจยิ่งขึ้น จากเดิมที่ภาครัฐเป็นหลัก มาเป็นรูปแบบที่ดึงผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก ภาคเอกชน ผู้ผลิตไฟฟ้า และตัวแทนองค์กรธุรกิจ เข้ามานั่งเป็นประธานและรองประธาน ซึ่งถูกมองว่าเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มความโปร่งใสและสร้าง “จุดร่วม” ทางนโยบาย ก่อนเสนอแผนต่อคณะกรรมการระดับชาติภายใต้นโยบายเร่งรัดของรัฐมนตรีพลังงาน ที่กำหนดกรอบทำงานเพียง 3 เดือน ทั้งในส่วนการปรับประมาณการความต้องการใช้ไฟฟ้า (Load Forecast) และการจัดหากำลังผลิตใหม่ให้สอดคล้องกับบริบทปัจจุบัน
“โจทย์ของ PDP รอบนี้ไม่ได้มีแค่โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ของ กฟผ. และการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย เช่น กฟน.และกฟภ.อีกต่อไป แต่กำลังเผชิญ “คลื่นใหม่” จากโซลาร์รูฟท็อป โซลาร์ฟาร์ม และกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าใช้เอง (IPS / Prosumer) ทั้งแบบบนหลังคาบ้าน โรงงานอุตสาหกรรม ไปจนถึงโครงการ Private PPA และโครงการแบบ offsite ที่ลากสายส่งจากอีกพื้นที่หนึ่งมาป้อนให้ลูกค้าโดยตรง” ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าว
เร่งวางเกมรับพลังงานทดแทน –ดาต้าเซ็นเตอร์ ดัน SMR เสริมฐานไฟฟ้า
ขณะเดียวกัน ภาคขนส่งไฟฟ้าอย่างรถ EV แม้จะขยายตัวช้าลงจากที่คาด แต่ยังเป็นปัจจัยเสริมให้การใช้ไฟฟ้ากลางคืนเพิ่มขึ้น ส่วนดาต้าเซ็นเตอร์กลับกลายเป็นพระเอกใหม่ของระบบ ด้วยตัวเลขคำขอส่งเสริมลงทุนที่พุ่งแตะราว 10,000 เมกะวัตต์ หรือ 10 กิกะวัตต์ โดยมีกำลังใช้ไฟแล้วราว 4 กิกะวัตต์ ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานไฟฟ้าปัจจุบันยังรองรับได้จำกัด
ด้านเทคโนโลยี แผน PDP ใหม่ต้องวางยุทธศาสตร์ เพื่อรองรับการเร่งเพิ่มพลังงานหมุนเวียน การใช้แบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) การลงทุนโรงสูบน้ำกลับ การพิจารณาเทคโนโลยีไฮโดรเจน และทางเลือกสุดท้ายอย่าง CCS ซึ่งติดค้างอยู่ในขั้นตอนนโยบายมาราว 2 ปีแล้ว ขณะที่ กฟผ. มีแผนลงทุนระบบสำรองกำลังผลิตแบบสูงกำลัง (High-capacity Storage) เพิ่มเติม เพื่อป้องกันไม่ให้ไทยซ้ำรอยกรณีสเปนหรือโปรตุเกสที่ระบบรับมือพลังงานทดแทนไม่ทัน
นอกจากนี้ เทคโนโลยี SMR และ MMR ถูกหยิบกลับมาพิจารณาอย่างจริงจังในมุมของ “ฐานรองรับความมั่นคงพลังงานคาร์บอนต่ำ” หลังประเมินแล้วว่าการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสีเขียวเกิน 51% ภายใต้ข้อจำกัดศักยภาพประเทศและความยืดหยุ่นของระบบ อาจทำได้ยากหากไม่มีแหล่งไฟฟ้าฐานคาร์บอนต่ำอย่างนิวเคลียร์เข้ามาเสริม โดยในแผนเดิมเคยวาง SMR ไว้ช่วงปลายแผน 2 ยูนิต ขนาดรวมราว 600 เมกะวัตต์ และมีแนวโน้มต้องทบทวนเพิ่มในร่างแผนใหม่ เพื่อให้ไทยสามารถเดินหน้าเป้าหมาย Net Zero 2050 ได้อย่างไม่กระทบทั้งความมั่นคง ระบบไฟฟ้า และทิศทางเปิดเสรีตลาดไฟฟ้าในอนาคต