แนวปะการังคือหนึ่งในระบบนิเวศที่สำคัญที่สุดของท้องทะเล แม้จะครอบคลุมพื้นที่เพียงราว 1% ของพื้นที่ใต้ทะเลทั้งหมด หรือประมาณ 400,000 ตารางกิโลเมตรทั่วโลก แต่กลับเป็นบ้านและแหล่งพึ่งพิงของสิ่งมีชีวิตทางทะเลมากถึง 25–40% ของชนิดพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งอาหาร แหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ หรือที่หลบภัย
หลายคนคงทราบดีว่า ปัจจุบันแนวปะการังกำลังเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ ตั้งแต่ภาวะโลกร้อนที่ทำให้เกิดการฟอกขาวรุนแรงในปี 2567 ไปจนถึงแรงกดดันจากการท่องเที่ยวและมลพิษทางทะเล ส่งผลให้การฟื้นฟูตามธรรมชาติไม่ทันต่อการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ การอนุรักษ์และการฟื้นฟูแนวปะการังจึงเป็นมาตรการเร่งด่วนและจำเป็น เพื่อให้ระบบนิเวศทางทะเลยังคงความสมบูรณ์ต่อไป
สำหรับประเทศไทยมีพื้นที่แนวปะการังเพียง 300 กว่าตารางกิโลเมตร แม้จะเป็นพื้นที่ไม่มาก แต่กลับมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อความมั่นคงของทรัพยากรทางทะเล ปะการังมีคุณสมบัติพิเศษคือสามารถฟื้นฟูตัวเองได้ แต่ภายใต้แรงกดดันจาก Climate Change ที่ทวีความรุนแรง และอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้นกว่า 1.2 องศาเซลเซียส ทำให้น้ำทะเลร้อนขึ้น ซึ่งการพึ่งพากระบวนการฟื้นตัวเองเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ แต่หากมีการเข้าไปช่วยเสริมการฟื้นฟู โอกาสในการรอดและกลับคืนสู่ความอุดมสมบูรณ์ก็จะมากขึ้น
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) จึงร่วมกับ SCG นำเสนอผลงาน “Whirling Wave Pagoda” หรือเจดีย์เกลียวคลื่น ซึ่งเป็นไอเดียรางวัลชนะเลิศจาก โครงการ ARTIFICIAL REEFS HACKATHON 2025 มาต่อยอดพัฒนาเป็นวัสดุฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการังจริง ด้วยเทคโนโลยี 3D Printing จาก SCG ที่ออกแบบให้มีพื้นที่ผิวมากขึ้น รองรับการเกาะตัวของปะการังได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีค่า pH ใกล้เคียงกับน้ำทะเล เพื่อเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โครงการนี้เตรียมนำร่องจัดวางต้นแบบในพื้นที่เป้าหมายตามแผนอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลของไทยในปี 2569 เพื่อเร่งฟื้นคืนความหลากหลายทางชีวภาพและสร้างสมดุลให้กับท้องทะเลไทยอย่างยั่งยืน

อุกกฤต สตภูมินทร์ รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดเผยว่า โครงการ ARTIFICIAL REEFS HACKATHON 2025 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการบูรณาการองค์ความรู้จากสถาบันการศึกษา เข้ากับความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อช่วยอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลของชาติ ท่ามกลางวิกฤตการฟอกขาวของปะการังที่รุนแรงสูงถึง 60–80% และการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย ความร่วมมือนี้ไม่เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังเป็นการวางรากฐานระบบอนุรักษ์ที่ปรับตัวได้ตามการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นภารกิจที่ท้าทายและต้องเร่งดำเนินการ ก่อนที่ความสวยงามและความหลากหลายทางชีวภาพของแนวปะการังไทยจะสูญหายไป

หนึ่งในไอเดียที่ได้รับรางวัลชนะเลิศและกำลังจะถูกต่อยอดสู่ต้นแบบจริง คือ “Whirling Wave Pagoda – เจดีย์เกลียวคลื่น” ผลงานจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่ออกแบบโดยใช้เทคโนโลยี 3D Printing จาก SCG สร้างโครงสร้างทรงเกลียวโค้งเพื่อควบคุมทิศทางกระแสน้ำใต้ทะเล ลดการสะสมตะกอน เพิ่มพื้นที่ผิวสัมผัส และเอื้อต่อการลงเกาะของตัวอ่อนปะการังได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีการนำวัสดุเหลือใช้จากเปลือกหอยของชาวประมงมาผสมในปูนมอร์ตาร์ เพื่อเสริมสารเหนี่ยวนำที่ช่วยให้ตัวอ่อนปะการังเกาะได้ง่ายขึ้น ถือเป็นการผสมผสานนวัตกรรม เทคโนโลยี และแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนเข้าด้วยกัน
“จุดเด่นของโครงการนี้คือการมองไปข้างหน้าอย่างมีกลยุทธ์ โดยไม่เพียงสร้างแนวปะการังเทียมเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศ แต่ยังต่อยอดเป็น พื้นที่อนุรักษ์และแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ที่ช่วยขยายขอบเขตการดำน้ำ เพิ่มคุณค่าเชิงเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน แม้การฟื้นฟูแนวปะการังโดยปกติจะใช้เวลา 10–20 ปีกว่าจะเห็นผล แต่การใช้ 3D Printing จะช่วยเร่งความคืบหน้า และสามารถปรับรูปแบบโครงสร้างให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ ทั้งในด้านความลึก ความแรงและทิศทางกระแสน้ำ หรืออุณหภูมิทะเล” อุกฤต กล่าว
นอกจากนี้ ยังมีศักยภาพในการนำเทคโนโลยีดังกล่าวไปใช้แก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งเป็นภัยคุกคามสำคัญในอนาคต โดยโครงสร้างสามารถรื้อถอนได้หากไม่เกิดผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง ดังนั้น โครงการ ARTIFICIAL REEFS HACKATHON 2025 จึงไม่ได้เป็นเพียงการสร้างแนวปะการังเทียม แต่คือการสร้าง “ระบบนิเวศแห่งนวัตกรรม” ที่หลอมรวมความร่วมมือจากรัฐ เอกชน ชุมชน และสถาบันการศึกษา เพื่อคืนความสมบูรณ์สู่ท้องทะเลไทย และสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนในระยะยาว

เฉลิมวุฒิ สงวนญาติ Concrete and Construction Technology Director แห่งหน่วยงาน Innovation and Technology ธุรกิจ SCG Cement and Green Solutions กล่าวว่า ที่ผ่านมา SCG ได้นำเทคโนโลยี 3D Printing และวัสดุปูนมอร์ตาร์สูตรพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยมีค่า pH ใกล้เคียงน้ำทะเล มาผลิตเป็นวัสดุฐานลงเกาะสำหรับปะการัง ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ในหลายพื้นที่ เช่น เกาะไม้ท่อน เกาะราชาใหญ่ เกาะสาก และเกาะแสมสาร เพื่อให้ตัวอ่อนปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลสามารถยึดเกาะและเติบโตได้ดี งานวิจัยชี้ว่า พื้นที่ผิวของโครงสร้างที่สร้างด้วย 3D Printing มีมากกว่าการหล่อคอนกรีตแบบดั้งเดิมถึง 2 เท่า ซึ่งหมายถึงโอกาสที่ตัวอ่อนปะการังจะลงเกาะและฟื้นฟูแนวปะการังได้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม

โครงการนำร่อง “Whirling Wave Pagoda” หรือเจดีย์เกลียวคลื่น จะถูกนำมาจัดวางเป็นฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการังจริง โดยมีแผนระยะสั้นเริ่มต้นในปี 2569 ครอบคลุมพื้นที่ 14 ไร่ ใน 7 จังหวัดชายฝั่งทะเลไทย พร้อมความร่วมมือจากนักวิชาการของ ทช. เพื่อศึกษาวิจัยและติดตามผลอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ประสิทธิภาพการลงเกาะ การเจริญเติบโต ความหลากหลายของปะการัง ไปจนถึงระบบนิเวศโดยรอบ หากผลการประเมินเป็นไปตามเป้าหมาย จะมีการขยายผลต่อยอดไปยังพื้นที่อื่น ๆ รวมถึงเชื่อมโยงกับ การพัฒนาเครือข่ายการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ที่จะช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการอนุรักษ์
“สำหรับแผนระยะยาวนั้น จะนำเสนอตัวอย่างผลงานและผลการดำเนินงาน สำหรับเป็นแนวทางไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน เพื่อสร้างองค์ความรู้และต่อยอดจากแผนงานของไทย ในการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลต่อไปได้” เฉลิมวุฒิ กล่าว