งาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) เปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่ ภายใต้แนวคิด “พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก” (Sufficiency for Sustainability) รวบรวมเทคโนโลยี นวัตกรรม และองค์ความรู้ด้านความยั่งยืนจากองค์กรชั้นนำทั่วโลก จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 กันยายน – 5 ตุลาคม 2568 เวลา 1000–2000 น ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และหนึ่งในไฮไลท์ของการเสวนาในปีนี้ คือการชู “Varni Craft” แบรนด์จักสานกระเป๋ากระจูด จังหวัดพัทลุง ที่ถูกยกระดับเป็น โมเดล SME ไทยสู่การท่องเที่ยวยั่งยืน สะท้อนพลังของภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สามารถเชื่อมโยงเศรษฐกิจสร้างสรรค์เข้ากับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยวเชิงคุณค่า

ในยุคที่โลกให้ความสำคัญกับ “การพัฒนาที่ยั่งยืน” ประเทศไทยเองก็ไม่อาจมองข้ามการสร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และชุมชนท้องถิ่น โดยเฉพาะภาค SME ที่ถือเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจไทย หากได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง ก็จะสามารถพัฒนาต่อยอดสู่การสร้างมูลค่าใหม่ ๆ และกลายเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่เศรษฐกิจสีเขียวได้อย่างยั่งยืน

มนัทพงศ์ เซ่งฮวด CEO Varni Craft เล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นว่า จากเสื่อกระจูดราคาถูก สู่สินค้าดีไซน์ส่งออก การสานเสื่อกระจูดในอดีตขายได้เพียงใบละหนึ่งร้อยบาท ทั้งที่ต้องใช้เวลาทั้งวันกว่าจะเสร็จ จึงไม่คุ้มค่าแรงสำหรับคนในชุมชน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ จุดเปลียนที่ต้องเลือกกลับบ้านเกิดเพื่อพัฒนากระจูดให้กลายเป็นงานดีไซน์ร่วมสมัย ผ่านการเพิ่มมูลค่าด้วยการปักและใส่ลวดลายเฉพาะตัว จนสินค้าที่เคยมีราคาหลักร้อย กลายเป็นกระเป๋าที่ขายได้หลักพัน และยังสามารถส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศทั้งฝรั่งเศส อเมริกา จีน และมาเลเซีย
“จุดเปลี่ยนสำคัญคือการมองเห็นจุดเด่นของชุมชน และต่อยอดด้วยดีไซน์และเรื่องราวที่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิต ทำให้กระจูดที่เคยถูกมองเป็นวัชพืช กลายเป็นสินค้าที่มีคุณค่า และสร้างรายได้กลับมาสู่ท้องถิ่น”

ตลอดจนสามารถสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนด้วยการท่องเที่ยว พร้อมทั้งได้ต่อยอดไปสู่ การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ โดยการเปิดบ้านเป็นโฮมสเตย์และศูนย์การเรียนรู้ ให้นักท่องเที่ยวมาพักผ่อน เรียนรู้การสานกระเป๋า และสัมผัสวิถีชีวิตชุมชน สิ่งนี้ไม่เพียงสร้างประสบการณ์เชิงวัฒนธรรม แต่ยังช่วยกระจายรายได้สู่คนในพื้นที่ ทั้งผู้สาน ช่างฝีมือ ร้านอาหาร และท่าเรือนำเที่ยว จนเกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในชุมชนอย่างแท้จริง
โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น ที่เป็นลูกค้ารายแรกที่ให้ความสนใจเดินทางเข้ามาสัมผัสและเรียนรู้การทำหัตถกรรมด้วยตนเอง ทำให้ปัจจุบัน Varni Craft ขยายธุรกิจมีโฮมสเตย์และโรงแรมเพิ่มเป็น 12 ห้อง รองรับนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น พร้อมคาเฟ่ และกิจกรรมสานกระเป๋าไว้ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติได้มาสัมผัส

พลังของช่างฝีมือในชุมชนเป็นส่วนสำคัญ ที่หล่อหลอมจนเป็นความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่ผู้นำเพียงคนเดียว แต่คือการร่วมแรงของคนในพื้นที่ โดยคุณสายชล ช่วยศรีนวล ช่างฝีมือปัก Varni Craft เล่าว่า อดีตเคยทำงานในศูนย์ศิลปาชีพ ปัจจุบันเป็นครูช่างใน Varni Craft มากว่า 7–8 ปี รู้สึกภาคภูมิใจด้วยผลงานที่สร้างสรรค์ลวดลายที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลก และยังเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้ปักชื่อหรือลวดลายเฉพาะตนลงบนกระเป๋า

“จากอาชีพที่เคยทำเพื่อเลี้ยงชีพ วันนี้งานฝีมือกลายเป็นงานที่มีรายได้แน่นอน และที่สำคัญคือได้เห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติมีความสุขกับการเรียนรู้ฝีมือช่างไทย ทำให้เราภูมิใจว่าสิ่งเล็ก ๆ ในชุมชนสามารถสร้างคุณค่าได้อย่างยั่งยืน” สายชลฯ กล่าวทิ้งท้าย
มนัทพงศ์ฯ ได้กล่าวเน้นย้ำว่า “เป้าหมายต่อไปในอีก 5 ปีข้างหน้า คือการสร้างโมเดลความยั่งยืนที่ SME รายอื่นสามารถนำไปปรับใช้ได้ โดยเน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การจัดการขยะในพื้นที่ การสร้างงานให้ลูกหลานได้อยู่ในบ้านเกิด และการต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์”
อย่างไรก็ตาม โมเดลการท่องเที่ยวความยั่งยืน การเดินทางกว่า 8 ปีของ Varni Craft แสดงให้เห็นว่า หาก SME ไทยได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสม ก็สามารถพัฒนาเป็นต้นแบบที่เชื่อมโยง “ธุรกิจ–ชุมชน–การท่องเที่ยว” เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว สามารถสร้างคุณค่าใหม่ให้กับภูมิปัญญาท้องถิ่น กระจายรายได้สู่ชุมชน และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมควบคู่กันไป เป็นโมเดลที่น่าภาคภูมิใจและควรได้รับการสนับสนุนในระดับประเทศ เพื่อให้ SME ไทยกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสู่อนาคตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง