มธ.เปิดตัวหลักสูตร TU ESG NEXT สร้างผู้นำองค์กรเพื่อความยั่งยืน ตอบโจทย์เทรนด์อนาคตด้าน ESG


มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดอบรมหลักสูตร ผู้นำเพื่อความยั่งยืน : TU ESG NEXT FOR SUSTAINABILITY LEADERSHIP ภายใต้แนวคิดสร้างผู้นำองค์กรในทุกภาคส่วนเพื่อปรับตัวและมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ในการขับเคลื่อนองค์กรให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยไม่ละเลยความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และบรรษัทภิบาล ตลอดจนสามารถสร้างความเชื่อมั่นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระยะยาว

ศ.ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์

ศ.ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประธานที่ปรึกษาหลักสูตร TU ESG NEXT FOR SUSTAINABILITY LEADERSHIP กล่าวว่า จากเดิมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นสถาบันที่เข้มแข็งในการขับเคลื่อนสังคมและการพัฒนาประชาธิปไตย แต่เมื่อบริบทของสังคมโลกเปลี่ยนไป มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้มีการปรับตัวและพัฒนาหลักสูตรต่าง ๆ ให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ปัจจุบันธรรมศาสตร์ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเสาหลักของเรา โดยมีคณะวิชาทางด้านพัฒนาศาสตร์ ที่จัดการเรียนการสอนทางด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงหลักสูตรใหม่ ๆ ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์เรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยตรง ด้วยจุดยืนและสถานะของมหาวิทยาลัยในปัจจุบัน ทางสถาบันเสริมศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ ได้ร่วมมือกับบริษัท บ้านซีเอสอาร์ จำกัด โดย ดร.วรวุฒิ ไชยศร กรรมการผู้จัดการ และเป็นผู้อำนวยการหลักสูตร ได้ร่วมกันเปิดการอบรมหลักสูตร TU ESG NEXT FOR SUSTAINABILITY LEADERSHIP โดยเน้นจุดแข็งด้านองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่มหาวิทยาลัยฯ มีในเรื่องเหล่านี้

โดยหลักสูตรดังกล่าวออกแบบมาเพื่อเน้นการสร้างผู้นำเพื่อความยั่งยืน (SUSTAINABILITY LEADERSHIP) ซึ่งหมายรวมถึงผู้บริหารทุกภาคส่วนทั้งราชการ รัฐวิสาหกิจและเอกชน ให้มีการพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำยุคใหม่ที่สามารถเปิดมุมมองด้านความยั่งยืนผ่านประสบการณ์จริงที่ถ่ายทอดโดยผู้บริหารจากทั้งภาคธุรกิจ ภาครัฐ และภาคประชาสังคม รวมถึงการเรียนรู้เชิงปฏิบัติการ (Action Learning) และการสร้างเครือข่ายผู้นำเพื่อการเปลี่ยนแปลง (Leadership for Impact) ที่พร้อมต่อการขับเคลื่อนองค์กรในโลกที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

อีกทั้งได้ระดมคณาจารย์ที่มีเชี่ยวชาญด้าน ESG ของมหาวิทยาลัยมาเป็นวิทยากรหลักในการถ่ายทอดองค์ความรู้ พร้อมทั้งการเชิญวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิระดับประเทศ ที่พร้อมถ่ายทอดทั้งความรู้ ประสบการณ์ และวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืน (ESG) อาทิ ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร , ดร.สรพล ตุลยเสถียร รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รองศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.กฤษฎา เสกตระกูล อดีตรองผู้จัดการ และหัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คุณพิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบรรษัทภิบาลและการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นายพิริยะ เข็มพล ประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม และการกำกับดูแลกิจการ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ดร.ศิริกุล เลากัยกุล ผู้อำนวยการโครงการพอแล้วดี The Creator, Country Director Sustainable Brands Thailand คุณวชิระชัย คูนำวัฒนา Deputy Chief Sustainability Officer บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์ – ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด

“เรามุ่งหวังให้ทุกคนที่ผ่านการอบรมหลักสูตรนี้สามารถนำความรู้และประสบการณ์ที่มี ไปเปลี่ยนแปลงองค์กรของตัวเอง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กร ขณะเดียวกันเราก็จะพัฒนาหลักสูตรนี้ให้ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงให้ทันยุคทันสมัยตลอดเวลา ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายของเราด้วย” ศ.ดร.ศุภสวัสดิ์ กล่าว

TU ESG NEXT

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีเวทีเสวนาเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ โดย ผู้นำหลักสูตรและผู้เชี่ยวชาญ ถ่ายทอดประสบการณ์และแนวคิดเชิงปฏิบัติ โดยดร.วรวุฒิ ไชยศร ผู้อำนวยการหลักสูตร เปิดเผยถึงแนวคิดการออกแบบหลักสูตรด้านการพัฒนาผู้นำเพื่อความยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วยเนื้อหาเข้มข้นทั้งหมด 7 โมดูล โดยมุ่งเน้นให้ผู้เข้าอบรมเข้าใจและสามารถนำแนวคิด ESG ไปประยุกต์ใช้ได้จริงในองค์กร ที่มีเนื้อหาหลักสูตรครอบคลุม 7 โมดูล ได้แก่

  1. การทำความเข้าใจแนวคิด ESG และสิ่งแวดล้อม
  2. การสร้าง ผู้นำการเปลี่ยนแปลง ที่สามารถขับเคลื่อน ESG ในองค์กร โดยได้รับเกียรติจาก ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มาร่วมบรรยายพิเศษ
  3. การเรียนรู้ด้าน ธรรมาภิบาลและการกำกับดูแลองค์กรที่ดี
  4. การบริหารและบูรณาการนโยบายความยั่งยืนให้เกิดผลในทางปฏิบัติ
  5. การจัดทำและเปิดเผย รายงานความยั่งยืน (Sustainability Report)ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์
  6. การสื่อสาร ESG ภายในองค์กร เพื่อสร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วมจากทุกระดับ
  7. ประเด็นด้าน ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน และการลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน

“ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากหลักสูตรนี้ คือการได้เห็นผู้เข้าอบรมสามารถวาง “Purpose” หรือเป้าหมายองค์กรได้อย่างชัดเจน พร้อมนำแนวคิด ESG ไปประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการความเสี่ยง และสร้างวัฒนธรรมธรรมาภิบาลภายในองค์กร เพื่อสานต่อการเป็น ผู้นำเพื่อความยั่งยืน อย่างแท้จริง” ดร.วรวุฒิ กล่าว

ผศ.ดร.ผกาวดี สุพรรณจิตวนา ผู้อำนวยการหลักสูตร กล่าวถึงประเด็นเรื่อง “สิทธิมนุษยชน” ซึ่่งมักถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและน่ากังวลสำหรับภาคธุรกิจ ทั้งที่ในความเป็นจริง สิทธิมนุษยชนถือเป็นหัวใจสำคัญที่แทรกอยู่ใน เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 ข้อ (SDGs) ซึ่งครอบคลุมทุกมิติของการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม หรือสิ่งแวดล้อม

ในการดำเนินธุรกิจยุคใหม่ ตัวชี้วัดความสำเร็จไม่ได้มีเพียง ‘กำไร’ เท่านั้น แต่ยังรวมถึง คุณค่าที่ธุรกิจส่งต่อให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนความเท่าเทียม ความเสมอภาค และการเคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ทั้งในมิติของผู้บริหาร พนักงาน คู่ค้า ผู้ให้บริการ และผู้รับบริการ หากองค์กรละเลยเรื่องสิทธิมนุษยชน อาจนำไปสู่ความเสียหายทางชื่อเสียง และบั่นทอนความเชื่อมั่นของลูกค้า ซึ่งในทางกลับกัน องค์กรที่ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน จะได้รับความไว้วางใจ ความน่าเชื่อถือ และความมั่นคงทางธุรกิจในระยะยาว ตอบโจทย์เป้าหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้อย่างแท้จริง

สำหรับในหลักสูตรดังกล่าว ยังได้ออกแบบหนึ่งโมดูลเฉพาะ เพื่อให้ผู้เข้าอบรมได้เรียนรู้การ ประเมินความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชน และสามารถนำเครื่องมือไปใช้วิเคราะห์พฤติกรรมหรือกระบวนการภายในองค์กร เพื่อปรับปรุงให้สอดคล้องกับแนวทาง ESG และมาตรฐานสากลได้ทันที

ผศ.ดร.เอกสิทธิ์ หนุนภักดี ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารวิชาการ สถาบันเสริมศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และกรรมการอำนวยการหลักสูตร กล่าวว่า ทุกครั้งที่เกิด “การเปลี่ยนแปลงในสังคม” เปรียบเสมือนการ “เคาะประตูบ้าน” ของมนุษยชาติ เพื่อเตือนให้เราตื่นรู้และปรับตัวให้ทันต่อยุคสมัย ก่อนหน้าที่แนวคิด ESG (Environment, Social, Governance) จะถูกพูดถึงอย่างแพร่หลาย โลกเคยขับเคลื่อนด้วยกรอบของ SDGs – เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งส่วนใหญ่ยังมุ่งเน้นไปที่มิติทางกายภาพหรือการพัฒนาเชิงโครงสร้าง แต่ในปัจจุบัน “การเคาะประตูครั้งใหม่” มาพร้อมกับกระแสความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ที่เรียกร้องความเท่าเทียม ความโปร่งใส และธรรมาภิบาลมากยิ่งขึ้น ขณะที่การขับเคลื่อน ESG ไม่ได้จำกัดเพียงเรื่องสิ่งแวดล้อมหรือการบริหารจัดการองค์กรเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงลึกซึ้งกับ มิติทางการเมือง เศรษฐกิจ และภูมิรัฐศาสตร์โลก ซึ่งล้วนมีผลต่อกฎระเบียบ การใช้ทรัพยากร และการเข้าถึงตลาดในระดับสากล ประเทศใดที่สามารถยกระดับตนเองให้สอดคล้องกับกรอบ ESG และดำเนินงานอย่างโปร่งใสตามหลักธรรมาภิบาลได้ จะมีข้อได้เปรียบทางการแข่งขันในเวทีโลก ทั้งในด้านการเข้าถึงทรัพยากร โอกาสทางการค้า และความร่วมมือระหว่างประเทศ

“ ความท้าทายของวันนี้ จึงไม่ใช่เพียงการเข้าใจ ESG ในเชิงทฤษฎี แต่คือการปรับตัวให้เท่าทัน “การคานอำนาจใหม่ของโลก” ที่กำลังก่อตัวขึ้น ผ่านกฎระเบียบและมาตรฐานสากล ซึ่งกำลังเป็นประตูสำคัญสู่ความยั่งยืนของทั้งองค์กรและประเทศ” ผศ.ดร.เอกสิทธิ์ กล่าว

วิจิตรา สุภาคง ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารความยั่งยืนและความเสี่ยง บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC BIG C กล่าวว่า แนวทางการสร้าง “การมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” ถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนความยั่งยืนขององค์กร เนื่องจาก BJC BIG C ดำเนินธุรกิจที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้ง ธุรกิจรีเทล (Retail Business) ธุรกิจการผลิตบรรจุภัณฑ์ ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Goods) ไปจนถึงยาและเครื่องมือแพทย์ รวมแล้วกว่า 8 ประเภท ซึ่งแต่ละกลุ่มมีลักษณะของลูกค้า คู่ค้า และซัพพลายเออร์ที่แตกต่างกัน

ดังนั้น สิ่งแรกที่องค์กรให้ความสำคัญ คือ การทำความเข้าใจว่า “ใครคือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders)” ของเรา โดยต้องระบุให้ชัดว่าใครคือ คีย์สเต็กโฮลเดอร์ (Key Stakeholders) เพื่อให้สามารถเข้าใจ “ความคาดหวัง” และ “ความต้องการ” ของแต่ละกลุ่มได้อย่างตรงจุด และตอบโจทย์ได้ครบทั้งในมิติของ E – Environment, S – Social และ G – Governance

ที่ผ่านมา BJC BIG C ได้จัดทำการวิเคราะห์ Materiality Topics หรือ “ประเด็นสาระสำคัญ” ครอบคลุมทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งได้ระบุไว้ 4 กลุ่มหลักของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้แก่

1. ผู้บริโภค (Consumers) ซึ่งเป็นกลุ่มสำคัญที่สุด 2. คู่ค้าและซัพพลายเออร์ (Partners & Suppliers) 3. พนักงานและบุคลากรภายในองค์กร และ4. ชุมชนและสังคมในพื้นที่ที่ธุรกิจดำเนินงานอยู่ โดยเฉพาะกลุ่มชุมชน ถือเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มีความสำคัญมาก เนื่องจาก BIG C มีสาขาทั่วประเทศ การเข้าใจมุมมองของชุมชนจึงเป็นสิ่งจำเป็น ตัวอย่างเช่น ในอดีตเมื่อเปิดสาขาใหม่ ชุมชนอาจกังวลว่าธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่จะเข้ามาแย่งลูกค้าจากร้านโชห่วยในท้องถิ่น แต่ BJC BIG C เลือกแนวทาง “ร่วมมือแทนการแข่งขัน” ด้วยการยื่นมือไปจับกับร้านโชห่วยในชุมชน ผ่านการให้คำปรึกษาเรื่องมาตรฐานการจัดการร้านค้า เช่น การนับสต็อกสินค้า การคำนวณต้นทุน และการบริหารจัดการระบบร้านค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ผลลัพธ์ คือ ร้านโชห่วยยังคงอยู่คู่กับชุมชนได้อย่างเข้มแข็ง และเมื่อมีระบบบริหารจัดการที่ดีขึ้น ก็สามารถกลับมาเป็นลูกค้าของ BIG C โดยสั่งสินค้าผ่านช่องทางของบริษัท กลายจาก “คู่แข่ง” เป็น “พันธมิตรทางธุรกิจ” ที่เติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน อีกตัวอย่างหนึ่งคือ การทำงานร่วมกับ ซัพพลายเออร์ภาคเกษตร ซึ่งในอดีตมักต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง ทำให้เกษตรกรไม่ได้รับราคาที่เป็นธรรม BJC BIG C จึงเข้าไปเชื่อมโยงโดยตรง ให้ความรู้และข้อมูลด้านการปลูกพืชตามมาตรฐาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและมูลค่าผลผลิต พร้อมขยายความร่วมมือไปยัง ผู้ประกอบการ SME ที่มีศักยภาพ โดยจัดอบรมเรื่องการลดการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต เพื่อให้พัฒนาไปสู่ธุรกิจสีเขียวและแข่งขันได้ในตลาดอนาคต

ในภาคการผลิต BJC BIG C ยังมุ่งเน้นแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เห็นคุณค่าของวัสดุเหลือใช้ โดยเฉพาะในธุรกิจผลิตแก้ว ที่เริ่มตั้งแต่การออกแบบสายการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% แทนการใช้ก๊าซธรรมชาติ เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ให้ได้มากที่สุด พร้อมดำเนินโครงการร่วมกับ “รถซาเล้ง” ทั่วประเทศ เพื่อเก็บแก้วใช้แล้วกลับมาเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างเป็นระบบ

“หลักสูตรด้านความยั่งยืนในครั้งนี้เป็นหลักสูตรที่มีคุณค่ามาก เพราะเปิดมุมมองให้เห็นว่าการสร้างความยั่งยืนต้องเริ่มจาก “เรา” ก่อน เมื่อทุกคนและทุกภาคส่วนร่วมมือกัน จะเกิดพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง และเมื่อภาคธุรกิจทั้งหมดใน Ecosystem ขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกันด้วยหลัก ESG ย่อมสร้างประโยชน์ร่วมกันให้กับทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” วิจิตรา กล่าว

ดร.ศิริกุล เลากัยกุล ผู้อำนวยการโครงการพอแล้วดี และ Country Director ของ Sustainable Brands Thailand กล่าวถึงการนำ ศาสตร์พระราชา มาประยุกต์ใช้ในการสร้างผู้นำความยั่งยืน ผ่านแนวคิด 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ที่ถูกนำมาเป็นกรอบในการออกแบบหลักสูตร ชูแนวคิดสำคัญประกอบด้วย 1. รู้จักตนและประมาณตน — การสร้างความเข้าใจตนเองและบริบทรอบตัวเพื่อนำมาพัฒนาคอนเทนต์และกลยุทธ์ทางธุรกิจให้สอดคล้องกับความยั่งยืน โดยมองว่าเป็น หน้าที่ของผู้สร้างแบรนด์ ที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม 2. มีเหตุมีผล — การบริหารจัดการที่มีหลักการชัดเจน เช่น การคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์และการวัดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้การตัดสินใจด้าน ESG มีที่มาที่ไปและเป็นระบบ และ3. มีภูมิคุ้มกัน — การสร้างความพร้อมในการบริหารความเสี่ยงและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder Engagement) เพื่อรับมือกับความท้าทายในอนาคต

สิ่งที่พระองค์ท่านมอบให้ถือเป็น จุดเริ่มต้นของการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน ซึ่งต้องอาศัย ความรอบรู้และระบบการเรียนรู้ร่วมกัน ไม่ใช่เพียงการรู้ข้อมูลแต่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องสามารถบูรณาการความรู้นั้นเข้ากับการทำงานและการตัดสินใจได้จริง

ในมุมของการพัฒนาธุรกิจ ความยั่งยืน (Sustainability) เป็นเพียงจุดเริ่มต้น หากมุ่งแค่การ “ยืดอายุ” ของทรัพยากรโดยไม่สร้างระบบฟื้นฟู (Regenerative) จะทำให้ลูกหลานไม่ได้รับผลประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านั้น เรากำลังยืมทรัพยากรของลูกหลานมาใช้ หากใช้โดยไม่ระมัดระวัง เราจะทิ้งภาระให้รุ่นต่อไป ทรัพยากรเป็นของลูกหลาน จึงต้องใช้ด้วยความเกรงใจและรับผิดชอบ” ดร.ศิริกุล กล่าว

การเข้าร่วมสอนในหลักสูตรนี้มีความตั้งใจและเป้าหมายเพื่อสร้างผู้นำที่ยั่งยืน (Sustainable Leadership) และ เศรษฐกิจที่ยั่งยืน (Sustainable Economy) ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของพระราชา ที่เน้นการใช้ชีวิตอย่างพอประมาณ การสร้างผู้นำจึงไม่ใช่เพียงการดำรงตำแหน่งชั่วคราว แต่ต้องสามารถส่งมอบความยั่งยืนต่อสังคมได้อย่างแท้จริง

“ผู้นำที่แท้จริงต้องมีความตั้งใจสร้างความยั่งยืนอย่างรอบด้าน ทั้งในแง่ของสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ เพื่อให้ผลกระทบเชิงบวกนี้สามารถสืบทอดต่อไปยังรุ่นต่อ ๆ ไป” ดร.ศิริกุล กล่าว

BJC BIG C ชูยุทธศาสตร์ความยั่งยืนขับเคลื่อน ESG  ในเวทีเสวนา ธรรมศาสตร์เปิดหลักสูตร TU ESG NEXT

BJC BIG C ชูยุทธศาสตร์ความยั่งยืนขับเคลื่อน ESG  ในเวทีเสวนา ธรรมศาสตร์เปิดหลักสูตร TU ESG NEXT

สำหรับหลักสูตร ผู้นำเพื่อความยั่งยืน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ : TU ESG NEXT FOR SUSTAINABILITY LEADERSHIP (สำหรับผู้บริหารระดับสูง) รุ่นที่ 1 เปิดอบรมระหว่างวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 – 18 มีนาคม 2569 (อบรมทุกวันพุธ) เวลา 13.00 – 18.00 น. ณ โรงแรมอัศวิน ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ