ในแต่ละปี ประเทศไทยผลิต “หางแร่” หรือของเหลือจากกระบวนการทำเหมืองแร่จำนวนมหาศาล โดยเฉพาะจากการสกัดทองคำและเงิน แม้หางแร่จะถูกจัดการอย่างเป็นระบบ แต่ในทางปฏิบัติกลับถูกทิ้งไว้โดยไร้มูลค่า ซึ่งสวนทางกับแนวโน้มการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และความจำเป็นในการลดของเสียตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน และการทำเหมืองแบบไร้ของเสีย ขณะที่ต้นทุนวัสดุก่อสร้างในหลายภูมิภาคของไทย โดยเฉพาะพื้นที่ห่างไกล เช่น จังหวัดพิจิตรและเพชรบูรณ์ เพิ่มสูงขึ้นจากค่าขนส่งและความขาดแคลนวัตถุดิบในพื้นที่ ส่งผลให้ชุมชนท้องถิ่นไม่สามารถเข้าถึงวัสดุก่อสร้างคุณภาพในราคาย่อมเยาได้

เพื่อพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการเหมืองแร่ทองคำและเงินแห่งเดียวของประเทศไทย จึงร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผ่านการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อร่วมบูรณาการองค์ความรู้จากงานวิจัยในการศึกษาความเป็นไปได้ของการใช้ประโยชน์จาก ‘หางแร่ (Tailings)” ที่เกิดจากการกระบวนการผลิตแร่ทองคำและเงินให้กลายเป็นแร่เศรษฐกิจ (Economic Minerals) แห่งอนาคตที่สามารถนำมาผลิตวัสดุก่อสร้างคุณภาพสูง พร้อมเตรียมแผนกรุยทางสร้างโอกาสธุรกิจของวิสาหกิจในชุมชนนำร่อง เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) สู่การเป็นต้นแบบของอุตสาหกรรมเหมืองแร่ที่มีการบริหารจัดการของเสียให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างยั่งยืน

เชิดศักดิ์ อรรถอารุณ ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายความยั่งยืนขององค์กร บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจและแรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อม บริษัทให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ “หางแร่” หรือของเหลือจากกระบวนการทำเหมืองทองคำชาตรี ซึ่งเป็นเหมืองทองคำขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ เพื่อไม่ให้กลายเป็นของเสีย อัคราจึงร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พัฒนาแนวทางการนำหางแร่มาใช้ผลิตเป็นอิฐบล็อกที่มีความแข็งแรงกว่าทั่วไป พร้อมถ่ายทอดความรู้สู่ชุมชนในจังหวัดพิจิตรและเพชรบูรณ์ เพื่อสร้างอาชีพ กระจายรายได้ และต่อยอดเศรษฐกิจหมุนเวียนในระดับท้องถิ่น
สำหรับกระบวนการผลิตทองคำของอัครานั้น ทองคำจากเหมืองจะถูกถลุงเป็น “แท่งโดเร่” ซึ่งประกอบด้วยทองคำประมาณ 10–12% และเงินกว่า 80% ก่อนจะส่งต่อไปยังโรงงานแปรรูป เพื่อสกัดเป็นทองคำบริสุทธิ์ 99% และเงินบริสุทธิ์ 95% แล้วเข้าสู่อุตสาหกรรมอัญมณีของไทย ทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มในประเทศตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ สะท้อนเป้าหมายของบริษัทที่ต้องการเติบโตควบคู่กับชุมชนรอบเหมืองในรัศมี 5 กิโลเมตรรอบเหมือง ซึ่งมีประชากรราว 15,000 คน ผ่านการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด และสร้างความไว้วางใจด้วยข้อมูลที่เชื่อถือได้
เชิดศักดิ์ กล่าวอีกว่า อัครายังยึดแนวคิด “Zero Waste Mining” ด้วยการนำหางแร่ที่ได้จากหินภูเขาไฟ ซึ่งมีความแข็งแรงกว่าหินปูนทั่วไป และผ่านการบดละเอียดจนมีลักษณะคล้ายแป้งฝุ่น มาใช้เป็นวัสดุก่อสร้างโดยไม่ต้องมีต้นทุนเพิ่มเติม จุดเด่นของอิฐจากหางแร่คือนอกจากจะแข็งแรง ยังช่วยลดต้นทุนการขนส่งวัสดุก่อสร้างในพื้นที่ห่างไกล เช่น พิจิตรและเพชรบูรณ์ ซึ่งปกติจะมีราคาสูงเพราะอยู่ไกลจากแหล่งผลิตหินก่อสร้าง
ด้านความปลอดภัย บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับจุฬาฯ ทำการวิจัยหางแร่อย่างละเอียด ทั้งการตรวจสารไซยาไนด์ โลหะหนัก และคุณสมบัติทางเคมีต่าง ๆ เพื่อยืนยันว่าไม่มีผลกระทบต่อชุมชน โดยใช้มาตรฐานจากห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรอง สร้างความมั่นใจจากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และผลการใช้งานจริงในพื้นที่
“แนวคิด ‘Zero Waste Mining’ มีโอกาสต่อยอดได้อีกมากในอนาคต ไม่เพียงแค่ในวงการก่อสร้าง แต่รวมถึงอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่สามารถใช้ประโยชน์จากหางแร่ได้ โดยคาดว่าในปีหน้า จะได้เห็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบจากโครงการนี้ในพื้นที่นำร่อง และเมื่อผ่านมาตรฐาน มอก. แล้ว จะสามารถขยายผลได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป” เชิดศักดิ์ กล่าว

ดร.พีท หอมชื่น อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเหมืองแร่และปิโตรเลียม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า โครงการนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการบูรณาการองค์ความรู้ด้านวิศวกรรมเหมืองแร่กับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับหางแร่ซึ่งเป็นวัสดุเหลือทิ้งจากกระบวนการแต่งแร่ โดยการนำมาพัฒนาเป็นอิฐบล็อกคุณภาพสูงที่มีความแข็งแรงและทนทานกว่าอิฐทั่วไป
นอกจากจะช่วยลดการใช้ทรัพยากรจากธรรมชาติแล้ว ยังช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในกระบวนการก่อสร้าง สร้างศักยภาพของชุมชนและรายได้ให้กับชุมชนรอบเหมือง ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตในระยะยาว ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Net Zero และ SDGs ด้าน Sustainable Cities & Communities และ Responsible Consumption & Production

ด้าน รศ.ดร.จิรวัฒน์ ชีวรุ่งโรจน์ หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมเหมืองแร่และปิโตรเลียม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในอดีตการทำเหมืองแร่จะมุ่งเน้นไปที่การแสวงหาวัตถุดิบหลักเพื่อส่งต่อสู่อุตสาหกรรม แต่ปัจจุบันเรามองหางแร่เป็นทรัพยากรอง ที่สามารถนำมาต่อได้หลากหลาย และมีโอกาสสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมได้จริง ทางคณะได้ศึกษาลักษณะของหางแร่จากเหมืองทั่วประเทศ เพื่อออกแบบแนวทางการใช้ประโยชน์ให้สอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะโครงการร่วมกับเหมืองแร่ทองคำชาตรี ได้ใช้องค์ความรู้จากหลายศาสตร์ เช่น วัสดุศาสตร์ วิศวกรรมสิ่งแวดล้อม และสังคมศาสตร์ มาพัฒนาแนวทางการแปรรูปหางแร่ให้ปลอดภัยและเป็นประโยชน์ พร้อมทั้งถ่ายทอดความรู้นั้นสู่ชุมชนในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและนำไปใช้ได้จริง

นอกจากการผลิตอิฐบล็อกจากหางแร่แล้ว ยังมีการวิจัยต่อยอดเพื่อพัฒนาเป็นวัสดุอื่น เช่น ฉนวนคอนกรีตน้ำหนักเบา โดยความท้าทายไม่ได้อยู่แค่ในเชิงเทคนิค แต่รวมถึงการวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ และความเป็นไปได้ในการขยายผลในระยะยาว เป้าหมายในอนาคต คือการสร้าง “วิสาหกิจชุมชน” ที่ช่วยให้ชุมชนในจังหวัดนำร่องมีรายได้จากการใช้ทรัพยากรที่เคยถูกมองข้าม และสามารถนำไปปรับใช้ในพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ
ภายใต้ความร่วมมือในครั้งนี้มีการร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ว่าด้วยเรื่อง การใช้ประโยชน์จากหางแร่ของ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ที่จะให้การสนับสนุนงบประมาณการวิจัยปีละ 3 ล้านบาท ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปี เพื่อผลักดันการศึกษาเชิงลึกและพัฒนานวัตกรรมอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่สะท้อนความมุ่งมั่นของ อัคราในการเดินหน้าดำเนินกิจการเหมืองแร่อย่างมีความรับผิดชอบ พยายามลดปริมาณของเสียโดยมีกระบวนการหมุนเวียนกลับไปใช้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ สร้างความมั่นใจให้กลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากการบริหารงานที่ปลอดภัยและโปร่งใส พร้อมส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนโดยรอบ ยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมเหมืองแร่ให้ก้าวสู่ความยั่งยืน โดยคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง