บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ผู้ผลิตพลังงานระดับสากล เดินหน้าต่อยอดพอร์ตธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นบริษัทไทยรายแรกที่เข้าสู่ธุรกิจซื้อขายพลังงานไฟฟ้า (Power Trading) ในตลาดไฟฟ้าเสรี ERCOT สหรัฐฯ การเติบโตเชิงกลยุทธ์นี้สะท้อนถึงความสามารถในการบริหารจัดการธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ – การผลิตไฟฟ้า, กลางน้ำ – การซื้อขายไฟฟ้า, ไปจนถึงปลายน้ำ – ธุรกิจค้าปลีกไฟฟ้า (Power Retail) เพื่อเพิ่มมูลค่าและรายได้อย่างยั่งยืน แนวทางดังกล่าวยังสอดคล้องกับจุดยืน “บุกเบิกนวัตกรรมพลังงาน เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน (Pioneer Energy, Empowering Tomorrow)” และพันธกิจใหม่ในการยกระดับขีดความสามารถ พร้อมเปิดรับโอกาสรองรับทิศทางพลังงานโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
พร้อมกันนี้ BPP ได้เผยรายงานผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2568 เติบโตแข็งแกร่ง จากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯ จีน และรายได้จากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอน (Carbon Emission Allowances: CEAs)

อิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP กล่าวว่า ในยุคที่ความมั่นคงด้านพลังงานเป็นปัจจัยสำคัญของเสถียรภาพเศรษฐกิจและความมั่นคงของทุกประเทศทั่วโลก BPP มุ่งเป็นผู้นำและพัฒนาพลังงานที่ไม่หยุดแค่การผลิตไฟฟ้า แต่ยังต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยธุรกิจ Power Trading ในตลาดสหรัฐฯ ผ่านบริษัทลูก BPPUS โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัล ข้อมูล และทีมงานมืออาชีพ ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างรายได้จากธุรกิจซื้อขายสิทธิรายได้จากความแออัดของระบบสายส่งไฟฟ้า หรือ Congestion Revenue Rights (CRR) รวมรายได้ตั้งแต่เริ่มดำเนินธุรกิจ CRR ในไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา จนถึงครึ่งปีแรก 2568 กว่า 133 ล้านบาท และเตรียมขยายสู่ตลาด Intercontinental Exchange (ICE) เพื่อทำกำไรจากตลาดซื้อขายไฟล่วงหน้าจากการคาดการณ์ราคาพลังงาน (Proprietary Trade) ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนควบคู่กับธุรกิจผลิตไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ ที่ยังคงสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังดำเนินธุรกิจค้าปลีกไฟฟ้าในสหรัฐฯ ผ่าน BKV Energy บริษัทย่อยภายใต้ความร่วมมือระหว่าง BPPUS และ BKV Corporation ล่าสุดได้รับรางวัล “Best Electricity Company” จากเวที Best of the Best 2025 ของ Houston Chronicle ผ่านการโหวตของผู้บริโภคในรัฐเท็กซัส สะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อคุณภาพและการส่งมอบไฟฟ้าที่ต่อเนื่องในราคาที่เหมาะสม

สำหรับผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรก 2568 BPP มีกำไรสุทธิ 1,846 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่าน และมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) รวม 4,486 ล้านบาท โดยปัจจัยหลักมาจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ Temple I และ II ปรับตัวดีขึ้น และมีกำไรจากการวัดมูลค่าเครื่องมือทางการเงิน (Change in Fair Value of Financial Instrument) ซึ่งเป็นผลจากการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงในราคาที่ดี โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (CHPs) ในจีนที่บริหารต้นทุนถ่านหินได้มีประสิทธิภาพ และรายได้จากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เพิ่มขึ้น

อิศรา กล่าวว่า ปัจจุบัน BPP มีกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด 3.6 GW แบ่งเป็นธุรกิจพลังงานความร้อน (Thermal Energy) โดยก่อสร้างโรงไฟฟ้าเจิ้งติ้งในจีน เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งใช้ชีวมวลร่วมกับเชื้อเพลิงหลักในสัดส่วนร้อยละ 10 คาดว่าจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้ราว 70,000 ตันต่อปี

ส่วนโรงไฟฟ้าโจวผิงได้เริ่มก่อสร้างระบบท่อส่งไอน้ำฝั่งเหนือในเดือนกรกฎาคมและกำลังศึกษาการขยายท่อเพิ่มเติมไปยังฝั่งตะวันตกและตะวันออกเพื่อส่งมอบไอน้ำที่มีความเสถียรและคุ้มค่าให้แก่ภาคอุตสาหกรรมและที่พักอาศัยได้มากขึ้น ขณะที่โรงไฟฟ้า HPC ในสปป. ลาว และ BLCP ในไทย ยังคงรักษาค่าความพร้อมจ่ายไฟ (EAF) ในระดับสูงที่ร้อยละ 89 และ 90 ตามลำดับ
“BPP ตั้งเป้าหมายขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอนCarbon Emission Allowances (CEA) ในปี 2025 ที่ 290,000 ตัน โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ได้ขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอนราว 250,000-260,000 ตัน ทำให้มีรายได้เพิ่ม 19 ล้านหยวน” อิศรา กล่าว
ด้านธุรกิจ Renewables+ BPP มีโครงการอิวาเตะ โตโนะ (Iwate Tono) แบตเตอรี่ฟาร์มในญี่ปุ่น กำลังไฟฟ้า 14.5 เมกะวัตต์ ความจุพลังงาน 58 เมกะวัตต์ชั่วโมง ได้เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดย BPP ยังเดินหน้าขยายธุรกิจระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System: BESS) ที่ญี่ปุ่น ผ่าน บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด ซึ่ง BPP ถือหุ้นร้อยละ 50 โดยตั้งเป้าสู่การเป็นผู้เล่นหลักในธุรกิจ BESS ของญี่ปุ่น พร้อมทั้งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายการลงทุน BESS สู่ตลาดสหรัฐฯ ในอนาคต
สมิทธิพร เศรษฐปราโมทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด กล่าวเสริมว่า ธุรกิจระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System: BESS) ของบ้านปู เน็กซ์มีโอกาสค่อนข้างมากในญี่ปุ่น เนื่องจากญี่ปุ่นให้เงินสนับสนุนมากที่สุดเทียบกับ GDP และมี Synergy กับธุรกิจซื้อขายพลังงานไฟฟ้าของเรา โดยตอนนี้ธุรกิจที่เติบโตเร็วที่สุดของบ้านปู เน็กซ์ คือ ธุรกิจซื้อขายพลังงานไฟฟ้า ยิ่งเรามีแบตเตอรี่มากขึ้น เรายิ่งเติบโตด้านซื้อขายพลังงานมากขึ้น ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจ เนื่องจากเรามีแบตเตอรี่เป็น Asset และมีโรงไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ของเราเอง
ในต้นปี 2568 กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (METI) ให้การสนับสนุนธุรกิจระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ 29 โครงการ บ้านปู เน็กซ์ได้ 2 โครงการใหญ่ในอันดับต้นๆ ส่งผลให้ธุรกิจของบ้านปู เน็กซ์อยู่ใน Top 10 ในญี่ปุ่น
อิศรา กล่าวต่อว่า BPP ยังได้ประกาศพันธกิจใหม่ 3 ด้าน เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนและสอดรับกับพลวัตของอุตสาหกรรมพลังงานโลก ได้แก่ 1. ผลักดันการเติบโตด้วยนวัตกรรมดิจิทัล ความเชี่ยวชาญระดับสากล และการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในโครงการระดับโลก 2. ขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อลดการปล่อย CO2 และเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานเพื่ออนาคต และ3.ยกระดับคุณภาพชีวิตผ่านการพัฒนาชุมชน ทั้งในด้านการศึกษา การดูแลสุขภาพ และการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ ฯลฯ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
“การพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างก้าวกระโดดในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า จะช่วยเร่งความต้องการไฟฟ้ามากขึ้น 3-5เท่า รวมทั้งระบบหล่อเย็นที่ใช้น้ำระบายความร้อนด้วย ซึ่งจะช่วยสร้างดีมานด์ใหม่โดยเฉพาะ Data Center ที่ต้องการไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพ ระบบน้ำหล่อเย็นที่มีประสิทธิภาพ 99.9% โดยBPPมีจุดแข็ง ด้านUpstream สามารถซัพพลายไฟฟ้า ถือเป็นโอกาสสำคัญในการดำเนินธุรกิจ ปัจจุบันมีสหรัฐฯ จีน และรัสเซีย เป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่มุ่งหวังจะเป็นผู้นำด้าน AI” อิศรา กล่าวทิ้งท้าย