กลุ่มเซ็นทรัลเดินหน้าผลักดันงานความยั่งยืนผ่านโครงการ “เซ็นทรัล ทำ ทำด้วยกันทำด้วยใจ” ด้วยการเปิดตัวพาวิลเลียน “ข้าว ไทย ทำ” ภายในงาน Thailand Rice Fest 2025 เทศกาลข้าวที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ เพื่อนำเสนอคุณค่าของ “ข้าวไทยพันธุ์พื้นเมือง” ที่สะท้อนอัตลักษณ์ วิถีชีวิต และภูมิปัญญาท้องถิ่น

ขณะเดียวกันยังเป็นการสร้างรายได้ให้เกษตรกรและขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างเป็นรูปธรรม โดยปีนี้ได้คัดเลือกข้าวพื้นเมือง 10 สายพันธุ์จาก 7 จังหวัด 8 ชุมชน และมูลนิธิชัยพัฒนา มาจัดแสดงและจำหน่ายอย่างครบถ้วน ตั้งแต่สายพันธุ์หอมมะลิ ผกาอำปึล หอมมะลิแดง ฮางหอมมะลิ สังข์หยด เบายอดม่วง ข้าวไร่ดอกข่า ข้าวดอยบือซอมี ไปจนถึงข้าวหอมปทุมธานี 1 ซึ่งแต่ละพันธุ์มีทั้งรสชาติ คุณค่าทางโภชนาการ และเรื่องราวเฉพาะถิ่นที่กำลังกลับมาได้รับความสนใจในตลาดอาหารระดับโลก

พิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล เปิดเผยว่า การทำงานแบบ “ลงมือทำร่วมกัน” ระหว่างภาคธุรกิจและชุมชนคือหัวใจสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน และความหลากหลายของข้าวไทยควรถูกมองเป็น “มรดกทางวัฒนธรรม” มากกว่าวัตถุดิบในจาน และเมื่อได้รับการผลักดันอย่างถูกทิศทางก็สามารถต่อยอดเป็นโอกาสใหม่ ทั้งด้านรายได้และคุณภาพชีวิตของผู้ปลูก
โดยปีนี้มีการออกแบบพาวิลเลียนให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสข้าวไทยในหลายมิติ ตั้งแต่โซนจำหน่ายข้าว โซนชิมข้าวจับคู่เมนูจากร้านเขียวไข่กา โซนเวทีถ่ายรูป โซน Good Goods และโซนภัทรพัฒน์จากมูลนิธิชัยพัฒนา นอกจากนี้ยังเปิดตัวแพกเกจจิงดีไซน์พิเศษเพื่อรองรับตลาดของฝากช่วงปีใหม่ด้วย
ท่ามกลางกระแสการฟื้นฟูพันธุ์ข้าวพื้นเมือง ข้าวไร่ยังคงเป็นพืชเกษตรที่สะท้อนทั้งวิถีชีวิต ภูมิปัญญา และอัตลักษณ์ของพื้นที่ โดยเฉพาะ “ข้าวไร่ดอกข่า” จากจังหวัดพังงา ที่ไม่เพียงเป็นอาหารของชุมชน หากแต่เป็นองค์ความรู้ที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น และกำลังได้รับการปลุกชีพขึ้นมาอีกครั้ง ผ่านบทบาทของโรงเรียนและพลังความร่วมมือของคนในท้องถิ่น
ดร.กนกพร คงยศ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านตากแดด กลุ่มวิสาหกิจชุมผู้ปลูกข้าวไร่ดอกข่า กล่าวว่า “ข้าวไร่ดอกข่า” ของชุมชนเป็นข้าวพื้นเมืองดั้งเดิมของจังหวัดพังงา ที่ไม่มีแหล่งปลูกในพื้นที่อื่น ปลูกต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 ตามวิถีชาวบ้าน ก่อนจะได้รับการฟื้นฟูและเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากบทบาทของโรงเรียนและการสื่อสารผ่านสื่อออนไลน์ โดยยังคงใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิมอย่างการ “น่ำไร่” ปลูกบนพื้นที่ดอนด้วยแรงงานคน ซึ่งเคยเลือนหายไปตามการขยายตัวของพืชเศรษฐกิจอย่างยางพาราและปาล์มน้ำมัน
ต่อมาชุมชนได้ร่วมพัฒนาข้าวไร่กับเซ็นทรัลกรุ๊ปและเซ็นทรัลทำ ทำให้ข้าวไร่ดอกข่าได้รับการยกระดับทั้งด้านมูลค่า คุณภาพ และบรรจุภัณฑ์ ราคาเพิ่มจากกิโลกรัมละ 50 บาท เป็นกิโลกรัมละ 179 บาท โดยผลิตแบบจำกัดปีละครั้ง ในช่วงกรกฎาคมถึงสิงหาคม และเก็บเกี่ยวในช่วงธันวาคม

“ปัจจุบันชาวบ้านรวมกลุ่มปลูกกว่า 300 ไร่ มีสมาชิก 22 คน ให้ผลผลิตราว 350–450 กิโลกรัมต่อไร่ โดยโรงเรียนทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางควบคุมมาตรฐานทั้งการผลิตและจำหน่าย” ดร.กนกพร กล่าว
อย่างไรก็ตาม เด็กยุคใหม่จำนวนมากยังมองเรื่องข้าวเป็นเรื่องไกลตัว การจะชักชวนให้เกิดการเรียนรู้จึงต้องเริ่มจากการบูรณาการเข้าสู่ระบบการศึกษาอย่างจริงจัง โดยนำเรื่องข้าวไร่ในชุมชนมาพัฒนาเป็นส่วนหนึ่งของแผนการสอนของครู ภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เด็กนักเรียนจะได้ซึมซับองค์ความรู้ตั้งแต่ต้นน้ำ ทั้งด้านการจัดการ การปลูก และได้ลงมือปฏิบัติจริง ทำให้การเรียนรู้เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่เพียงบทเรียนในห้อง แต่เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต
การดำเนินโครงการยังเชื่อมโยงผู้ปกครองและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม โดยเฉพาะกิจกรรมการ “น่ำไร่” ที่กลายเป็นการลงแขกของทั้งหมู่บ้าน ผู้ปกครองและลูกหลานทำกิจกรรมร่วมกัน ส่งผลให้เด็ก ๆ ไม่รู้สึกว่าข้าวไร่เป็นเรื่องห่างไกล ในขณะเดียวกัน เมื่อเห็นว่าการทำข้าวไร่ช่วยสร้างรายได้และทำให้เศรษฐกิจครัวเรือนดีขึ้น ชาวบ้านบางส่วนก็เริ่มหันกลับมาปลูกเพิ่มมากขึ้น
ด้านเศรษฐกิจ โครงการมุ่งกระจายรายได้ให้คนในชุมชนให้มากที่สุด โดยมีเพียงกระบวนการสีข้าวที่เปิดโอกาสให้ชุมชนอื่นเข้ามาร่วมดำเนินการ ขณะที่ขั้นตอนตั้งแต่การปลูก การแปรรูป บรรจุ ไปจนถึงการจำหน่าย ชาวบ้านเป็นผู้ดำเนินการเอง
“ผลผลิตประมาณ 70% จำหน่ายผ่านเครือเซ็นทรัล ส่วนอีก 30% เป็นตลาดลูกค้ารายย่อย สะท้อนการพัฒนาข้าวไร่ที่เชื่อมโยงการศึกษา วิถีชีวิต และการสร้างรายได้อย่างยั่งยืนในระดับชุมชน” ดร.กนกพร กล่าว
ข้าวไร่ดอกข่าจึงไม่เพียงสร้างรายได้ให้ชุมชน แต่ยังเชื่อมโยงการเรียนรู้ของนักเรียน ผู้ปกครอง และวิถีชีวิตท้องถิ่น เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ตั้งแต่กระบวนการปลูกจริงจนถึงคุณค่าของพืชพื้นเมือง เป็นการสืบสานภูมิปัญญาและรักษาอัตลักษณ์ข้าวพื้นเมืองพังงาให้คงอยู่อย่างยั่งยืน