ขยะที่พบเห็นทั่วไปตามแหล่งท่องเที่ยว นอกจากจะทำลายทัศนียภาพของธรรมชาติแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวประเภทเกาะที่อยู่ห่างไกลจากฝั่ง ซึ่งไม่สามารถเคลื่อนย้ายออกจากเกาะได้ ด้วยอุปสรรคในการขนส่ง หรือค่าขนส่งที่สูงลิบลิ่วก็ตาม
ด้วยเหตุนี้ โครงการจัดการขยะและวัสดุรีไซเคิลบนพื้นที่เกาะอย่างยั่งยืน ภายใต้แผนงาน “เก็บ” ไทยให้สวยงาม จึงเกิดขึ้น เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการขยะบนพื้นที่เกาะ ส่งเสริมและสนับสนุนการคัดแยกวัสดุรีไซเคิล รวมถึงนำวัสดุรีไซเคิลกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ด้วยการร่วมมือใกล้ชิดและการมีส่วนร่วมของชุมชน และผู้ประกอบการบนเกาะอย่างต่อเนื่องและจริงจัง เพื่อเก็บรักษาความสวยงามของเกาะในภาคตะวันออก ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติมาอย่างยาวนาน โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากมูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทย ภายใต้การดำเนินงานร่วมกับศูนย์วิจัยระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อประเทศไทยปลอดขยะ (Circular Economy for Waste-free Thailand หรือ CEWT) มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ซึ่งมีบทบาทในการออกแบบระบบรายงานข้อมูลและพัฒนาเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในโครงการ รวมถึงทำงานร่วมกับชุมชน ผู้ประกอบการรับซื้อของเก่าบนพื้นที่เกาะ และฝ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

หลังจากโครงการนำร่องในปีพ.ศ.2564 จนถึงปัจจุบัน มีผลลัพธ์เป็นรูปธรรม ล่าสุด มูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทย ภาคีหลักในการขับเคลื่อนโครงการฯ ได้นำสื่อมวลชนลงพื้นที่บนเกาะช้าง จังหวัดตราด เพื่อสรุปผลความสำเร็จของโครงการฯ ในการเก็บวัสดุรีไซเคิลออกจากเกาะช้างถึง5,372.28 ตัน จากโครงการรวมทั้งหมด 7,224.97 ตัน หรือ 7,224,967.77 กิโลกรัม อีกทั้งยังสร้างรายได้และอาชีพให้คนในชุมชนอย่างเช่น ป้าจงกล วรรโณภาส และลุงเฉลย ชลสินธ์ ร้านรับซื้อของเก่าที่เข้าร่วมโครงการฯ
มูลนิธิโคคา-โคลาฯ หนุนร้านรับซื้อของเก่า ขนส่งวัสดุรีไซเคิลออกจากเกาะ

ศรุต วิทยารุ่งเรืองศรี กรรมการและเลขานุการ มูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทย กล่าวว่า มูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทย ตระหนักดีว่าปัญหาการจัดการขยะควรได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังและต่อเนื่อง จึงร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงศึกษาวิจัยสาเหตุของปัญหา และพบว่าหนึ่งในอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาขยะกองเก็บอยู่บนเกาะ คือค่าใช้จ่ายในการขนส่งวัสดุรีไซเคิลออกจากเกาะ เนื่องจากค่าขนส่งจากเกาะไปฝั่ง (Main Land) สูง ผู้ประกอบการรับซื้อของเก่าจึงต้องแบกรับต้นทุนที่สูงตาม ทำให้ต้องรับซื้อวัสดุรีไซเคิลในราคาต่ำ ประกอบกับราคาซื้อขายวัสดุรีไซเคิลที่ขึ้นลงตามตลาด ผลกระทบที่ตามมาคือชุมชนไม่เกิดแรงจูงใจที่จะคัดแยกขยะเพื่อนำไปรีไซเคิล
ทางโครงการฯ เห็นถึงความสำคัญของร้านรับซื้อของเก่าในฐานะหนึ่งในกลไกหลักของระบบจัดการขยะบนเกาะ จึงศึกษาและสนับสนุนเพื่อพัฒนาศักยภาพของร้านรับซื้อของเก่าด้วยการสนับสนุนค่าเรือขนส่ง เพื่อจูงใจให้มีการเก็บรวบรวมและขนส่งวัสดุรีไซเคิลออกจากเกาะเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งสนับสนุนอุปกรณ์เพื่อความสะดวกปลอดภัยในการทำงาน และการจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ประกอบการรับซื้อของเก่าที่เข้าร่วมโครงการฯ
ชี้ความสำเร็จของโครงการฯ เกิดจากการผนึกกำลังของชุมชน – ผู้ประกอบการบนเกาะ
โครงการจัดการขยะและวัสดุรีไซเคิลบนพื้นที่เกาะอย่างยั่งยืน แบ่งเป็นโครงการนำร่อง 2 ระยะ เริ่มต้นโครงการนำร่องระยะที่ 1 ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2564 ถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 ครอบคลุมพื้นที่เกาะสีชัง เกาะช้าง และเกาะหมาก ในพื้นที่ภาคตะวันออกของไทย ระยะที่ 2 ช่วงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2565 ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 จึงเพิ่มพื้นที่ดำเนินการในเกาะล้าน เกาะเสม็ด และเกาะกูด ต่อมาในปี พ.ศ. 2567 โครงการฯ ได้ต่อยอดขยายผลจากโครงการนำร่องที่ประสบความสำเร็จในการสนับสนุนการคัดแยกขยะและขนส่งเศษวัสดุออกจากเกาะ ซึ่งดำเนินการใน 5 เกาะ ได้แก่ เกาะช้าง เกาะหมาก เกาะกูด เกาะล้าน และเกาะเสม็ด เป็นระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2567-2569
“มูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทย ยินดีอย่างยิ่งที่โครงการนี้สามารถช่วยลดปริมาณขยะตกค้างบนเกาะ โดยเฉพาะในฤดูกาลท่องเที่ยว วัสดุรีไซเคิลได้รับการนำออกจากเกาะและเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลที่เหมาะสม ผู้ประกอบการรับซื้อของเก่าและชุมชนต่างได้มีส่วนร่วมกับกระบวนการรีไซเคิลมากขึ้น ความสำเร็จของโครงการนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากขาดความร่วมแรงร่วมใจจากชุมชนและผู้ประกอบการบนเกาะ” ศรุต กล่าว


นักวิจัยเดินหน้านำขยะขวดแก้วออกจากเกาะท่องเที่ยว พร้อมต่อยอดสร้างค่ามาตรฐานการขนส่งให้เกาะอื่น

ผศ.ดร.ปเนต มโนมัยวิบูลย์ ผู้ริเริ่มโครงการฯ กล่าวว่า ทุกเกาะของไทยประสบปัญหาเดียวกัน โดยเฉพาะช่วง COVID-19 ระบาด คือ ปริมาณขวดแก้วจำนวนมาก ซึ่งไม่สามารถเผาและฝังได้ ทำให้มีขวดแก้วกองเก็บจำนวนมากหลายตัน ถ้าวิเคราะห์เรื่องห่วงโซ่อุปทาน เพื่อขนวัสดุรีไซเคิลประเภทขวดแก้วออกจากเกาะไปขายยังบนฝั่ง ปัญหาคือ ค่าเรือ ซึ่งได้มูลนิธิโคคา-โคลาสนับสนุนค่าขนส่งทางเรือ โครงการฯ จึงร่วมมือกับร้านรับซื้อของเก่าในเกาะเล็ก ๆ เช่น เกาะหมากมี 3 ราย ส่วนเกาะช้าง ซึ่งเป็นเกาะใหญ่อันดับ 2 ของไทย มีจำนวนนักท่องเที่ยวหลักแสนต่อปี และมีหลายคนที่พักยาวเป็น Long Stay มีร้านรับซื้อของเก่า 10 ราย โดยมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง Remote การทำงานจากเชียงราย สร้างกลไกผู้ประกอบการ โดยตั้งเงื่อนไขง่ายๆ เวลาขายของจะได้ใบเสร็จจากร้านค้า ให้ส่งใบเสร็จมาโครงการฯ ทางโครงการวิจัยของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจะจ่ายเงินคืนให้
“วิธีนี้ทำให้ร้านรับซื้อเก่าไม่ต้องคิดว่าหากราคาตก จะหยุดซื้อดีมั้ย เพราะหากราคาตกหยุดรับซื้อจะส่งผลต่อครัวเรือน โรงแรม เริ่มต้น เราสนับสนุนขยะทุกประเภทฝนราคา 50-70 สต./กก ตอนนี้ตอนนี้ตัดเหลือขยะที่จำเป็น เช่น ขวดแก้ว ลัง ตอนนี้เหลือ 20-50 สต./กก แต่ละเกาะระยะทางแตกต่างกัน สามารถคำนวณได้ระยะทาง 5 สต./กม. สามารถใช้เป็นค่าอ้างอิงต่อยอดเกาะอื่นได้” ผศ.ดร.ปเนต กล่าว
โครงการฯ โชว์ผลสำเร็จ จัดเก็บวัสดุรีไซเคิล ออกจาก 6 เกาะท่องเที่ยว รวม 7,224.97 ตัน
จากการเก็บข้อมูลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 จนถึงปัจจุบัน เราสามารถเก็บวัสดุรีไซเคิลออกจากเกาะท่องเที่ยวในโครงการได้รวม 7,224.97 ตัน หรือ 7,224,967.77 กิโลกรัม โดยวัสดุรีไซเคิลที่ได้ปริมาณมากที่สุดคือแก้ว คิดเป็นสัดส่วน 58.8% รองลงมาคือโลหะ 11.7% กระดาษ 8.8% และพลาสติก 8.7 ตัว % ซึ่งช่วยลดจำนวนขยะสะสมบนเกาะที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกาะช้าง ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่เป้าหมายหลัก ตลอดเริ่มโครงการจนถึงปัจจุบัน ได้ขนย้ายขยะออกจากเกาะรวม 5,372.28 ตัน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการจัดการขยะบนเกาะที่มีความท้าทาย แต่จัดการได้ถ้ามีระบบที่ดีพอ

ในส่วนของผู้ประกอบการรับซื้อของเก่าบนเกาะช้างที่เข้าร่วมโครงการ จากข้อมูลที่เก็บอย่างต่อเนื่องช่วยคำนวณค่าขนส่งที่เป็นธรรมและเหมาะสม พร้อมช่วยประสานกับผู้ประกอบการเรือขนส่ง และช่วยสนับสนุนค่าเรือขนส่งบางส่วน ซึ่งช่วยลดค่าขนส่งวัสดุรีไซเคิลเฉลี่ยต่อครั้ง จาก 700–900 บาท/ตัน เหลือเพียง 209–436 บาท/ตัน เพิ่มรายได้หมุนเวียนให้ร้านรับซื้อของเก่าจากการขายวัสดุรีไซเคิล เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างระบบจัดการขยะบนพื้นที่เกาะอย่างยั่งยืน ซึ่งจะช่วยให้ชุมชนสามารถดำเนินการได้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อและยั่งยืนแม้สิ้นสุดการสนับสนุนเบื้องต้นจากโครงการฯ

เดินหน้าร่วมมือกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เพิ่มจำนวนวัสดุรีไซเคิลที่ขนออกจากเกาะ – ขยายผลใช้กับเกาะอื่นๆ
ผศ.ดร.ปเนต กล่าวว่า ในปีหน้า ทางโครงการฯ จะขยายความร่วมมือกับผู้ประกอบการท่องเที่ยว โรงแรม ร้านค้า และหน่วยงานท้องถิ่น เพื่อสร้างระบบแยกขยะที่ต้นทาง เพื่อเพิ่มจำนวนวัสดุรีไซเคิลที่สามารถขนออกจากเกาะไปสู่กระบวนการรีไซเคิลบนฝั่ง รวมทั้งขยายผลไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับเกาะอื่นๆ
“ถ้าเราช่วยในเรื่องสต็อกสินค้าในช่วงราคาตก ทำให้กลไกการทำงานง่ายขึ้น จะเจาะว่าร้านรับซื้อของเก่าอยู่ตรงไหนมากขึ้น
อีกส่วนหนึ่งจะนำข้อมูลตัวเลขไปคุยกับอุตสาหกรรม ตอนนี้กฎหมาย EPR ( Extended Producer Responsibility) คือหลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต กำลังจะบังคับใช้ในปี 2569 เปิดโอกาสให้เอกชนเริ่มทำตามความสมัครใจก่อน ถามว่าอุตสาหกรรมสนใจมั้ย ราคาแค่นี้ ไม่ได้ใช้เงินมาก แต่ช่วยเอาขยะออกจากเกาะ 10 ตัน หรือ100 ตันต่อปี เชื่อว่าเอกชนพร้อมแสดงความรับผิดชอบแต่ไม่รู้ว่าทำอะไร ราคาเท่าไร แต่ถ้าเราสามารถโค้ดราคานี้ไปคุยได้ คิดว่าน่าจะระดมมาช่วยกันได้” ผศ.ดร.ปเนต กล่าว
นำระบบ IT ช่วยพัฒนาระบบฐานข้อมูลกลาง พร้อมคำนวณค่าขนส่งตามระยะทางที่เป็นธรรม

ด้านดร.เขมชาติ เขมาวุฒานนท์ อาจารย์ประจำสำนักวิชาเทคโนโลยีดิจิทัลประยุกต์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง หัวหน้าโครงการฯ กล่าวว่า โครงการนี้ได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในปี 2567 โดยพัฒนาระบบฐานข้อมูลกลางและรายงานออนไลน์ผ่าน LINE Official Account สร้าง Listเมนูให้คนเก็บของเก่ากรอกข้อมูลในระบบ มีระบบหลังบ้านส่งให้ทุกฝ่าย สามารถเห็นข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อรายงานและยืนยันการขนส่งวัสดุรีไซเคิล ซึ่งจะเพิ่มความแม่นยำในการประเมินและวางแผนการจัดการขยะ ลดการพึ่งพาผู้ประสานงาน และเพิ่มความโปร่งใส
โครงการปี 2567-2568 ใช้ระบบโลจิสติกส์สนับสนุนระยะทางกับน้ำหนักเพื่อคำนวณค่าขนส่งตามระยะทางที่เป็นธรรม โดยเปลี่ยนค่ามาตรฐาน 5 สต./กม. และมีแผนพัฒนาระบบการคำนวณค่าเรือให้เกาะอื่นๆ ด้วยในอนาคตนอกจากเกาะทั้งหมด 5 เกาะในแผนงานอีกด้วย เพื่อให้เกาะมีค่ามาตรฐาน ช่วยให้เกิดการบริหารจัดการที่แม่นยำและเหมาะสม ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถดำเนินกิจการได้ โดยไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบการรายใหญ่
สิ้นปี 2568 มีการนำระบบเทคโนโลยี Image Processing สำหรับอ่านเอกสาร ในปีหน้า ลุงป้าที่เก็บของไม่ต้องกรอกข้อมูลแต่อย่างใด เพียงถ่ายรูปให้ระบบอ่านจากรูป เข้าระบบ ถ้าระบบทำสำเร็จ วางแผนจะขยายไปยังเกาะอื่นด้วย
จัดเก็บข้อมูลใน Machine Learning สร้างระบบพยากรณ์ปริมาณขยะบนเกาะในอนาคต
ในส่วนของข้อมูลที่จัดเก็บตั้งแต่ปี 2564 -2568 มีจำนวนมาก เช่น เก็บขยะได้รวม 7,224.97 ตัน เทียบเท่าช้าง 200 ตัว รวมทั้งข้อมูลจำนวนประชากร ครัวเรือนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วย จำนวนนักท่องเที่ยว จะนำมาเก็บใน Machine Learning สร้างออกมาเป็นระบบพยากรณ์ปริมาณขยะขาเข้า และขาออกบนเกาะที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อนำตัวเลขนี้ยืนยันในโครงการปี 2569 ที่จะไปหาหน่วยงานภาครัฐ โรงแรม และร้านค้า เพื่อให้เห็นปริมาณขยะเพิ่มขึ้นในอนาคต
“ในปีหน้า ทางโครงการฯ จะจัดกิจกรรมเชิงรุก เพื่อดึงหน่วยงานราชการ ทั้งเทศบาล และการท่องเที่ยวเกาะช้าง โรงแรม เข้ามาร่วมกิจกรรมกับเรา ให้รู้ว่าเราทำกับร้านรับซื้อของเก่า มีช่องทางเอาขยะออกจากเกาะ เหลือเข้ามาร่วมด้วย และเอาขยะมารวมกัน” ดร.เขมชาติ กล่าว
สร้างรายได้มั่นคงจากการเปิดร้านรับซื้อของเก่า พร้อมต่อยอดให้ผู้สูงวัยมีรายได้ยามชรา

ลุงเฉลย ชลสินธ์ หนึ่งในผู้ประกอบการรับซื้อของเก่าบนเกาะช้าง เล่าว่า จากประสบการณ์ในการเป็นลูกจ้างร้านรับซื้อของเก่าที่อำเภอขลุง จ.ตราด จึงตัดสินใจเช่าที่เปิดร้านรับซื้อของเก่าด้วยเงินสดติดตัวเพียง 5,000 บาท ปัจจุบันทำธุรกิจนี้เป็นเวลา 9 ปีแล้ว ในช่วง3 ปีที่ผ่านมาได้ขยายกิจการโดยซื้อที่ดินเพื่อสร้างบ้านและร้านรับซื้อของเก่าบนเกาะช้าง มีลูกจ้าง 7 คน และมีรถบรรทุก 3 คัน โดยขนวัสดุรีไซเคิลจากเกาะช้างไปยังฝั่งเที่ยวละ 5,000 กิโลกรัม ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (High Season) จะขนส่งประมาณ 4-5 เที่ยว การที่มูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทยช่วยสนับสนุนค่าขนส่งวัสดุรีไซเคิล ช่วยลดต้นทุนค่าขนส่ง ทำให้มีรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้มากขึ้น จนสามารถต่อยอดให้ผู้สูงวัยบนเกาะช้าง 2 คน ได้เก็บวัสดุรีไซเคิล เพื่อสร้างรายได้ให้ผู้สูงวัย สามรถพึ่งพาตนเองได้ และยังช่วยลดปริมาณขยะบนเกาะช้างอีกทางหนึ่งด้วย

“มูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทย หวังว่าโครงการนี้จะเป็นต้นแบบการจัดการขยะบนพื้นที่เกาะ ที่สามารถขยายผลนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทในเกาะอื่น ๆ เช่น เกาะหมาก และเกาะอื่นๆ ในภาคตะวันออก รวมทั้งทดลองเกาะในพื้นที่ภาคใต้ ที่โค้กหาดทิพย์ตั้งอยู่ โดยนำเทคโนโลยี และสิ่งอำนวยความสะดวก หารือในเรื่องโครงสร้างคมนาคมขนส่ง ค่าขนส่งท่าเรือหาจุดที่เหมาะสม
เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย พร้อมทั้งขยายความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ องค์กรบริหารส่วนท้องถิ่น ผู้ประกอบการท่องเที่ยว โรงแรม ร้านค้า นักท่องเที่ยว ชุมชน เพื่อร่วมกันสร้างระบบแยกขยะที่ต้นทาง เพิ่มจำนวนวัสดุรีไซเคิลที่สามารถขนออกจากเกาะไปเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ในอนาคต” ศรุต กล่าวทิ้งท้าย