ส.อ.ท.ผนึกกำลัง 9 พันธมิตร บูรณาการบริหารจัดการน้ำ รับมือความท้าทายในอนาคต


สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ 9 หน่วยงานหลักด้านน้ำ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ,กรมชลประทาน, กรมทรัพยากรน้ำ, กรมทรัพยากรน้ำบาดาล, สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.), กรมอุตุนิยมวิทยา, กรมควบคุมมลพิษ, การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และสมาคมนิคมอุตสาหกรรมไทย   เพื่อเร่งผลักดันการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ ภายใต้แนวคิด “น้ำมั่นคง น้ำยั่งยืน” สะท้อนความมุ่งมั่นของทุกภาคส่วนในการสร้างระบบเศรษฐกิจน้ำที่พร้อมรับมือกับความท้าทายของอนาคต ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้ง น้ำท่วม หรือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ดร.ชนะ ภูมี

ดร.ชนะ ภูมี ประธานสถาบันน้ำและสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เล็งเห็นถึงความสำคัญอย่างยิ่งของการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพต่อการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม และความยั่งยืนของเศรษฐกิจโดยรวม เราต้องยกระดับประสิทธิภาพการใช้น้ำและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจจากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ข้อมูลจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนทช.) ปี 2564 ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยยังมีประสิทธิภาพการใช้น้ำเฉลี่ยเพียง 7.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อลูกบาศก์เมตร หรือประมาณ 238 บาท (คิดจากอัตราแลกเปลี่ยน 31.76 บาทต่อดอลลาร์) ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึงเกือบ 3 เท่า โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมซึ่งมีการใช้น้ำถึง 75% ของประเทศ แต่สร้างมูลค่าเพียง 11.4 บาท/ลบ.ม. ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมและบริการ ใช้น้ำน้อยกว่า (รวม 25%) แต่สร้างมูลค่าสูงถึง 1,059 และ 931 บาท/ลบ.ม. ตามลำดับ สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสในการพัฒนาและเพิ่มมูลค่าจากการใช้ทรัพยากรน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัด และความจำเป็นในการวางแผนจัดการทรัพยากรน้ำอย่างรอบด้าน เพื่อตอบโจทย์ทั้งด้านเศรษฐกิจ การอุปโภคบริโภค และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

“เรากำลังเผชิญกับโจทย์ใหญ่ด้านทรัพยากรน้ำในทุกมิติ การร่วมมือกันในวันนี้คือจุดเริ่มต้นสำคัญของการขับเคลื่อนให้การจัดการน้ำไม่ใช่เพียงเรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่คือภารกิจร่วมของทั้งสังคมไทย ที่สะท้อนถึงความตระหนักร่วมกันของทุกภาคส่วน ต่อความสำคัญของการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ท่ามกลางความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเติบโตทางเศรษฐกิจ และความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้น แม้ประเทศไทยจะมีประสบการณ์ในการรับมือกับปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งมาโดยตลอด แต่การผนึกกำลังครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบบริหารจัดการน้ำของประเทศอย่างรอบด้าน เพื่อสร้างระบบบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ ครอบคลุม และยั่งยืน”ดร.ชนะ กล่าว

สำหรับการขับเคลื่อนการบริหารจัดการน้ำของประเทศ จะมีการดำเนินงานผ่าน 5 เสาหลักสำคัญ ได้แก่

  1. สมดุลน้ำและข้อมูล (Water Balance & Data): ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูล การติดตาม ประเมิน และคาดการณ์สถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ
  2. การบริหารจัดการเชิงระบบ (Systematic Management): สนับสนุนข้อมูลและการบริหารจัดการแบบบูรณาการ สร้างสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานของน้ำทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ
  3. องค์ความรู้และนวัตกรรม (Water Innovation): ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและองค์ความรู้ผ่านการฝึกอบรมและศึกษาดูงานทั้งในและต่างประเทศ
  4. เครือข่าย WARROOM ระดับพื้นที่ (Local Water War Room): ยกระดับการทำงานร่วมกันในระดับพื้นที่ด้วยการสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนข้อมูลและการประเมินสถานการณ์น้ำ
  5. การสื่อสารข้อมูล (Water Communication): สังเคราะห์และนำเสนอข้อมูลสถานการณ์น้ำและแนวทางการบริหารจัดการความเสี่ยงให้เข้าใจง่ายและเข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย

ความร่วมมือครั้งนี้มีพันธมิตรจาก 3 กลุ่มหลัก ได้แก่

  • ด้านนโยบายและแหล่งน้ำ: สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC), กรมชลประทาน, กรมทรัพยากรน้ำ, กรมทรัพยากรน้ำบาดาล
  • ด้านข้อมูลและการพยากรณ์: สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.), กรมอุตุนิยมวิทยา, กรมควบคุมมลพิษ
  • ด้านการใช้น้ำและภาคเอกชน: การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.), สมาคมผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมเอกชน, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)

ส.อ.ท.ผนึกกำลัง 9 พันธมิตร บูรณาการบริหารจัดการน้ำ รับมือความท้าทายในอนาคต

อย่างไรก็ตามการขับเคลื่อนในครั้งนี้ มีเป้าหมายสำคัญเพื่อยกระดับศักยภาพในการบริหารจัดการน้ำ (Water Management) และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากการใช้น้ำ (Water Productivity) อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศ เช่น เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ลุ่มน้ำแม่กลอง และลุ่มน้ำท่าจีน เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ลดความเสี่ยง และเสริมสร้างความมั่นคงด้านน้ำในระยะยาว พร้อมกันนี้ ส.อ.ท. เชื่อมั่นว่าความร่วมมือในครั้งนี้ จะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการน้ำของประเทศไปสู่ความยั่งยืน สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยอย่างแท้จริง