โชกุบุสซึ จับมือ PIPATCHARA เปิดแคมเปญ ‘Go Green Go Glam’ พลิกฝาขวดเป็นแฟชั่นรักษ์โลก ลดใช้พลาสติกกว่า 42 ตันต่อปี


“โชกุบุสซึ โมโนกาตาริ” แบรนด์ครีมอาบน้ำคุณภาพญี่ปุ่นภายใต้บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้าตอกย้ำจุดยืนของแบรนด์ในการดูแลสุขภาพผิวอย่างอ่อนโยนควบคู่กับการรักษ์โลก ล่าสุดผนึกกำลังกับแบรนด์แฟชั่นไฮเอนด์ของไทย “PIPATCHARA” เปิดตัวแคมเปญ “Go Green Go Glam” ชวนผู้บริโภคร่วมขับเคลื่อนสังคมสู่ความยั่งยืน ด้วยการนำขวดพลาสติกใช้แล้วจากผลิตภัณฑ์โชกุบุสซึมาอัพไซเคิลเป็นชุดแฟชั่นและกระเป๋าลิมิเต็ดสุดเอ็กซ์คลูซีฟ สื่อสารแนวคิดที่ว่า “ความงามและสิ่งแวดล้อมสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน”

นอกจากจะเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมแล้ว แบรนด์ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดครีมอาบน้ำอันดับ 1 ของประเทศไทยต่อเนื่องกว่า 5 ปี ด้วยส่วนแบ่งตลาดกว่า 20% จากภาพรวม และเติบโตในระดับเลขสองหลักติดต่อกันมากว่า 2 ปี ในขณะที่ตลาดรวมเติบโตเฉลี่ยเพียง 3–4% แต่ปีนี้อัตราเติบโตของตลาดเพิ่มขึ้นถึง 2.9% สะท้อนให้เห็นถึงการตื่นตัวของผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพผิวและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น “โชกุบุสซึ โมโนกาตาริ” จึงเดินหน้าสร้างการรับรู้ด้านความยั่งยืนผ่านการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์ เพื่อเชื่อมโยงแนวคิดรักษ์โลกเข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง

วรรัช เอกอวัสดาพร

วรรัช เอกอวัสดาพร ผู้จัดการส่วนผลิตภัณฑ์ดูแลความงาม บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา “โชกุบุสซึ โมโนกาตาริ” ยึดมั่นในพันธกิจในการส่งมอบความงามจากธรรมชาติควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยเลือกใช้สารทำความสะอาดจากพืชธรรมชาติถึง 99% พร้อมพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์น้ำหนักเบาเพื่อลดการใช้พลาสติกได้มากกว่า 42 ตันต่อปี ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีนัยสำคัญ

”การปรับปรุงกระบวนการผลิตขวดบรรจุภัณฑ์ในปัจจุบันยังทำให้สามารถลดการใช้พลาสติกได้ถึง 12% ต่อขวด ขณะที่ในปีหน้าแบรนด์มีแผนดำเนินการจัดทำคาร์บอนฟุตพรินต์ (Carbon Footprint) อย่างเป็นระบบในหลายรหัสสินค้าที่แตกต่างกันของผลิตภัณฑ์ หลังจากมีผลิตภัณฑ์หนึ่งรุ่นที่ได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพรินต์ในระดับสากลแล้ว นอกจากนี้ การนำฝาขวดจากแคมเปญล่าสุดมาแปรรูปยังช่วยลดการใช้เม็ดพลาสติกใหม่ (Virgin Plastic) ลงได้อีกด้วย” วรรัช กล่าว

โชกุบุสซึยังให้ความสำคัญกับการใช้วัตถุดิบจากเกษตรกรไทย โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์จากวัตถุดิบเหลือทิ้ง เช่น เมล็ดมะไฟจีนจากจังหวัดน่าน ซึ่งไม่เพียงช่วยลดของเสียจากกระบวนการผลิต แต่ยังสร้างรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนในท้องถิ่นตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)

ภิพัชรา แก้วจินดา

ด้าน ภิพัชรา แก้วจินดา ดีไซเนอร์และผู้ก่อตั้งแบรนด์แฟชั่น PIPATCHARA กล่าวว่า การทำงานในครั้งนี้ถือเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า “ความสวยงาม” และ “ความยั่งยืน” สามารถหลอมรวมอยู่ร่วมกันได้จริง โดยทีมดีไซน์ได้นำฝาขวดครีมอาบน้ำโชกุบุสซึที่ใช้แล้วมาแปรรูปเป็นชุดแฟชั่นและกระเป๋าลิมิเต็ด ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนขยะให้กลับมามีคุณค่า พร้อมส่งต่อแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่เห็นว่าการรักษ์โลกไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ที่สง่างามและน่าภาคภูมิใจ

นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสในการต่อยอดทักษะและงานฝีมือของชุมชนท้องถิ่น ให้สามารถสร้างรายได้และความภูมิใจในผลงานที่ได้มีส่วนร่วมในโครงการ ซึ่งสอดคล้องกับหัวใจของทั้งสองแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและการสร้างคุณค่าร่วมในสังคม

กระเป๋า

“ปกติการสร้างผลงานต้นแบบของแบรนด์จะใช้วัสดุออริจินัลราว 90 ชิ้น แต่ในโปรเจ็กต์นี้ได้เพิ่มจำนวนฝาพลาสติกที่ใช้ระหว่าง 190–280 ชิ้นต่อผลิตภัณฑ์กระเป๋า โดยเลือกใช้ฝา PP (Polypropylene) ซึ่งมีคุณสมบัติหนืดและเหนียวมากกว่า ทำให้ต้องใช้เวลาในกระบวนการขึ้นรูปและประกอบนานกว่าปกติ เพื่อให้ได้ผลงานที่แข็งแรง มีความงามเชิงศิลป์ และยังคงแนวคิด “อัปไซเคิลอย่างมีคุณค่า” ที่สะท้อนหัวใจของการออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง” ภิพัชรา กล่าว

ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์

สำหรับแคมเปญ “Go Green Go Glam” โชว์พลังรักษ์โลกได้ดาราชื่อดัง ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์ พรีเซ็นเตอร์ มาเปิดตัว พร้อกิจกรรมเชิญชวนให้ผู้บริโภคนำขวดครีมอาบน้ำโชกุบุสซึที่ใช้หมดแล้วมาหย่อนที่จุด Recycle Station ภายใน Tops ซูเปอร์มาร์เก็ต 5 สาขา ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัลอีสต์วิลล์, เซ็นทรัลเวสต์วิลล์, เซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ และเซ็นทรัลบางนา ระหว่างวันที่ 1–30 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา โดยผู้ร่วมบริจาคจะได้รับคูปองส่วนลดมูลค่า 40 บาทสำหรับซื้อผลิตภัณฑ์โชกุบุสซึ พร้อมสิทธิ์สะสมคะแนนเพื่อลุ้นรับสร้อยข้อมือคอลเลกชันพิเศษจาก PIPATCHARA

PIPATCHARA

ส่วนขวดและฝาที่รวบรวมได้จะถูกนำไปแปรรูปและดีไซน์เป็นแฟชั่นไอเท็มลิมิเต็ดสุดพิเศษได้นำไปจัดประมูลผ่านอินสตาแกรม @PIPATCHARA  เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2568  รายได้ทั้งหมดจากการประมูลจะมอบให้แก่มูลนิธิสติ (SATI Foundation) เพื่อสนับสนุนโครงการด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ถือเป็นการเปลี่ยนพลาสติกเหลือใช้ให้กลายเป็น “พลังบวกเพื่อโลก” อย่างแท้จริง