ฮิตาชิ เอนเนอร์ยี่ (Hitachi Energy) ผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลกด้านไฟฟ้า และผู้นำตลาดด้านโครงข่ายไฟฟ้า (Power Grids) นำเทคโนโลยีดิจิทัลขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด โดยบริษัทฯ พร้อมสนองนโยบาย Quick Big Winและโครงการโซล่าร์ฟาร์มชุมชน 1,500 เมกะวัตต์ ด้วยการนำนวัตกรรมด้านพลังงานแบบครบวงจรมายกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าของประเทศ เพื่อให้ได้พลังงานสะอาดที่มีเสถียรภาพ มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน พร้อมเชื่อมโยง ‘พลังงานหมุนเวียน’ ให้เข้ากับ ‘ความมั่นคงของระบบไฟฟ้า’ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2065

ดร.วรวุฒิ วรุตตมพรสุ Country Managing Director บริษัท ฮิตาชิ เอนเนอร์ยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า พลังงานมี 3 แง่มุมที่สำคัญ ได้แก่ Effort จ่ายได้ 2. Security ความมั่นคง ไฟฟ้าที่เสถียร และ 3. Sustainability ความยั่งยืน
ทุกวันนี้เศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งใช้ไฟฟ้ามหาศาล จะเห็นได้จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ให้การอนุมัติการลงทุนธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ อย่างไรก็ตาม หากไทยต้องการเป็น ‘Digital Hub’ แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะต้องรองรับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) การใช้งาน และบริการดิจิทัลที่เติบโตขึ้น รวมถึงนโยบายด้าน EV และอุตสาหกรรมอัตโนมัติยังคงมีความต่อเนื่อง ทำให้เกิดความต้องการพลังงานสะอาดที่มีเสถียรภาพยิ่งขึ้น

ดังนั้น ประเทศไทยจึงได้เปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) ด้วยการขับเคลื่อนโดยเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเป็นสมาร์ทกริดและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมตั้งเป้าหมายบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายใน 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายใน 2065 เพื่อมุ่งไปสู่ทิศทางของพลังงานคาร์บอนต่ำและความยั่งยืน

เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กระทรวงพลังงานได้เปิดตัวนโยบาย ‘Quick Big Win’ เพื่อกำหนดมาตรการสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายสิ่งแวดล้อมและการวางแผนพลังงาน โดยปรับปรุงสายส่งไฟฟ้า เพื่อจัดการความผันผวนของระบบไฟฟ้า และจัดการพลังงานให้มีประสิทธิภาพควบคู่กัน พร้อมกันนี้ได้เร่งจัดทำแผน PDP ฉบับใหม่ภายใน 4 เดือนให้สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2065 ล่าสุดรัฐบาลยังสนับสนุนนโยบายโครงการโซล่าฟาร์มชุมชน 1,500 เมกะวัตต์ เพื่อปลดล็อกพลังงานแสงอาทิตย์สู่ฐานรากเศรษฐกิจ ทำให้คนไทยซื้อไฟในราคาที่ถูกลง
ดังนั้นเทคโนโลยีสำหรับการบริหารจัดการพลังงาน ‘ระดับมหภาค’ จึงกลายเป็นกุญแจสำคัญ เพื่อให้ระบบพลังงานของไทยสามารถผสานความยั่งยืนและความมั่นคงได้อย่างสมดุลบนเส้นทางสู่ Net Zero

ด้วยประสบการณ์ระดับโลกในเทคโนโลยีพลังงานและโครงข่ายไฟฟ้า ฮิตาชิ เอนเนอร์ยี่ จึงมีโซลูชันและนวัตกรรมครบวงจร เพื่อสร้างระบบไฟฟ้าที่มั่นคง ยั่งยืน และมีความเป็นดิจิทัลที่พร้อมใช้งานสำหรับอนาคตของประเทศไทยตามนโยบาย Energy Transition
“การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลจัดการพลังงานมีพารามิเตอร์เกี่ยวข้องที่สำคัญ ได้แก่ ข้อมูล โดยจะต้องพัฒนาระบบให้รองรับการเปลี่ยนแปลง มิฉะนั้นจะเกิดการผันผวน 2. ควบคุมการจัดการพลังงาน และ 3. สามารถคาดการณ์หรือจัดการระบบล่วงหน้า” ดร.วรวุฒิ กล่าว

สำหรับกลุ่มโซลูชันหลักๆ ที่สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านพลังงานเพื่อความยั่งยืน ประกอบด้วย
- Grid-enSure™ เทคโนโลยีล้ำหน้าที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับความเสถียร ยืดหยุ่น และประสิทธิภาพของระบบโครงข่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ทำให้สามารถแปลง ควบคุม และบริหารจัดการทิศทางการจ่ายพลังงานภายในกริดได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และปลอดภัย ช่วยให้ผู้ให้บริการระบบไฟฟ้าสามารถตอบสนองต่อความผันผวนของพลังงานหมุนเวียนได้แบบเรียลไทม์ เพิ่มความมั่นคงให้กับโครงข่ายไฟฟ้า พร้อมรองรับความต้องการพลังงานในอนาคตได้อย่างยั่งยืน ประกอบด้วยเทคโนโลยีหลัก ได้แก่ STATCOM (Static Synchronous Compensator) ระบบควบคุมแรงดันไฟฟ้าและคุณภาพพลังงานแบบเรียลไทม์ เพื่อรักษาเสถียรภาพของกริด 2.HVDC (High-Voltage Direct Current) ระบบส่งกำลังไฟฟ้าแรงสูงในรูปแบบกระแสตรง ที่สามารถส่งพลังงานได้ไกลขึ้นด้วยการสูญเสียน้อยลง 3.SFC (Static Frequency Converters) อุปกรณ์แปลงความถี่ไฟฟ้า ช่วยให้ระบบที่มีมาตรฐานต่างกันสามารถเชื่อมโยงและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ4.BESS (Battery Energy Storage System) ระบบกักเก็บพลังงานอัจฉริยะ ช่วยให้พลังงานต่อเนื่องแม้ในช่วงเวลาที่ผลิตพลังงานได้น้อย ช่วยบริหารจัดการความผันผวนของพลังงานหมุนเวียนได้อย่างลงตัว
- EconiQ™ มาตรฐานใหม่แห่งกลุ่มอุปกรณ์ไฟฟ้าแรงดันสูง (High Voltage Equipment) ถูกออกแบบภายใต้แนวคิดลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้ Alternative Gas แทนก๊าซSF₆ สามารถลดคาร์บอนได้มาก แต่ยังคงประสิทธิภาพ ความน่าเชื่อถือ และความปลอดภัยเทียบเท่าอุปกรณ์แบบดั้งเดิม ครอบคลุมตั้งแต่ สวิตช์เกียร์ เบรกเกอร์ สามารถขยายขอบเขตการใช้งานได้ถึงระดับแรงดันสูงพิเศษ (Extra-High Voltage) แต่ยังให้ขนาดที่กะทัดรัดและความยืดหยุ่นของการติดตั้ง เช่นเดียวกับอุปกรณ์แบบดั้งเดิม โดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพการทำงานหรือความปลอดภัยของระบบ
- Grid-eXpand™ สถานีไฟฟ้าแรงสูงแบบสำเร็จรูป ที่สามารถประกอบ ติดตั้ง และเชื่อมเข้ากับระบบไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องสร้างสถานีขนาดใหญ่ใหม่ทั้งหมด เป็นนวัตกรรมโซลูชันแบบโมดูลาร์ และพร้อมใช้งานได้ในทันที (Modular & Prefabricated) สำหรับการเชื่อมต่อโครงข่ายไฟฟ้า (Grid Connection) ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้สามารถขยายกริดได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังใช้งานครอบคลุมทุกความต้องการ เช่น การเชื่อมต่อกับโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่กระจายตัวและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โรงงาน โซลาร์ฟาร์มชุมชน ดาต้าเซ็นเตอร์ ขนาด 115 kV เป็นต้น มีการใช้งานแล้วที่การไฟฟ้านครหลวง ขนาด 22-24 kV
- TXpert™ Hub แพลตฟอร์มอัจฉริยะ ช่วยเปลี่ยนหม้อแปลงไฟฟ้าธรรมดาให้เป็นดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นหม้อแปลงไฟฟ้าที่ใช้งานอยู่แล้ว โดยโซลูชันจะมีการติดตั้งเซนเซอร์และเก็บข้อมูล เช่น อุณหภูมิ กระแสไฟ และคุณภาพไฟฟ้า เพื่อช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้มเพื่อแจ้งเตือนทันทีเมื่อมีความเสี่ยง
- PLC IoT Controller อุปกรณ์ควบคุมอัจฉริยะที่รวมความสามารถของ PLC (Programmable Logic Controller) ซึ่งใช้ในงานควบคุมเครื่องจักรและระบบอัตโนมัติในโรงงาน เข้ากับเทคโนโลยี IoT (Internet of Things) เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อ ส่งข้อมูล และวิเคราะห์การทำงานแบบเรียลไทม์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ช่วยให้โรงงานหรือระบบพลังงานสามารถตรวจสอบสถานะเครื่องจักร คาดการณ์การซ่อมบำรุง (Predictive Maintenance) และควบคุมระบบจากระยะไกลได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- Service โซลูชันบริการหลังการขายที่ถือได้ว่ามีบริการที่มากที่สุด ครอบคลุมทุกช่วงอายุของสินทรัพย์ ตั้งแต่การวางแผน การออกแบบ การติดตั้ง การทดสอบ และการบำรุงรักษา ไปจนถึงการยืดอายุการใช้งานและการจัดการเมื่อสิ้นสุดอายุอย่างเป็นระบบ โดยบริษัทฯ มี Spare Part ในอุปกรณ์ที่มีอยู่เดิม ทำให้สามารถขยายหรืออัปเกรดซอฟต์แวร์ได้ โดยไม่ต้องเคลื่อนย้ายอุปกรณ์แต่อย่างใด ด้วยการผสานเทคโนโลยี IoT ทำให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกได้แบบแบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถคาดการณ์ความเสี่ยงล่วงหน้า และวางแผนซ่อมบำรุงเชิงป้องกัน (Predictive Maintenance) เพื่อป้องกันการหยุดชะงักของระบบไฟฟ้าที่ส่งผลต่อความต่อเนื่อง

ดร.วรวุฒิ กล่าวว่า สำหรับแผนลงทุนของฮิตาชิ เอนเนอร์ยี่ทั้งหมด 9,000ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่ง
เป็น2 ระยะ ได้แก่ การลงทุนใน 2020-2023 จำนวน 3,000ล้านเหรียญสหรัฐ และในปี 2024-2027 ลงทุน 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยปีนี้ลงทุน 455 ล้านบาท เพื่อขยายโรงงานผลิตหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังในจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต 60% และลงทุนโรงงานหม้อแปลงในสหรัฐอเมริกา 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ รองรับการเติบโตของดาต้า เซ็นเตอร์ในสหรัฐอเมริกา

ทั้งนี้ ฮิตาชิ เอนเนอร์ยี่ได้จัดตั้งบริษัทในไทย 45 ปี โดยจัดตั้งโรงงานผลิตหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังแห่งแรกในไทย เริ่มดำเนินงานในปี 2525 ที่อ.บางปู จ.สมุทรปราการ และโรงงานหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังแห่งที่ 2 ในปี 2533 ในปี 2568 นี้ บริษัทฯ ผลิตหม้อแปลงขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นจาก 100 ลูกเป็น 150 ลูก และได้ส่งออกหม้อแปลงสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 60%
ในส่วนของยอดขายในไทยในปีนี้ แบ่งเป็นสัดส่วนของภาครัฐ 50% และภาคเอกชน 50% ซึ่งส่วนใหญ่เป็น งานโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรมน้ำมันและแก๊ส ระบบขนส่ง และดาต้าเซ็นเตอร์
ดร.วรวุฒิ กล่าวว่า ในปีนี้มีการจัดงาน IEEE PES GTD Asia 2025 ในระหว่างวันที่ 27–29 พฤศจิกายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ฮิตาชิ เอนเนอร์ยี่ได้นำ 3 นวัตกรรมโซลูชันไฮไลท์มาจัดแสดงในงาน ณ บูธ C1 บูธแรกหน้าทางเข้า Hall 2–4 ชั้น G ประกอบด้วย

1.กลุ่มผลิตภัณฑ์ EconiQ™ มาตรฐานใหม่แห่งกลุ่มอุปกรณ์ไฟฟ้าแรงดันสูง (High Voltage Equipment) ถูกออกแบบภายใต้แนวคิดลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยไม่ใช้ก๊าซ SF₆ แต่ยังคงประสิทธิภาพ ความน่าเชื่อถือ และความปลอดภัยเทียบเท่าอุปกรณ์แบบดั้งเดิม
2.Grid-enSure™ เทคโนโลยีล้ำหน้าที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับความเสถียร ยืดหยุ่น และประสิทธิภาพของระบบโครงข่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ทำให้สามารถแปลง ควบคุม และบริหารจัดการทิศทางการจ่ายพลังงานภายในกริดได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และปลอดภัย ช่วยให้ผู้ให้บริการระบบไฟฟ้าสามารถตอบสนองต่อความผันผวนของพลังงานหมุนเวียนได้แบบเรียลไทม์
3.โซลูชันด้านบริการ (Service Solutions) ที่ครอบคลุมทุกช่วงอายุของสินทรัพย์ ตั้งแต่การวางแผน การออกแบบ การติดตั้ง การทดสอบ และการบำรุงรักษา ไปจนถึงการยืดอายุการใช้งานและการจัดการเมื่อสิ้นสุดอายุอย่างเป็นระบบ และยังสามารถคาดการณ์ความเสี่ยงล่วงหน้า และวางแผนซ่อมบำรุงเชิงป้องกัน (Predictive Maintenance) อีกด้วย
โดย3 นวัตกรรมโซลูชันจะช่วยยกระดับระบบไฟฟ้าของประเทศไทยให้เสถียร ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมโชว์เคสเทคโนโลยีดิจิทัลพลังงานสุดล้ำที่กำหนดอนาคตของ Energy Transition อย่างแท้จริง

“ในปี 2050 หรืออีก 25 ปีข้างหน้า คาดการณ์ว่าจะมีการใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้นกว่าเดิม 2 เท่า มีการใชพลังงานทดแทนสูง 80% เราจะต้องส่งผ่านพลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 3 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2020 ในส่วนของเทคโนโลยีการสร้างสถานีไฟจะต้องสร้างให้เสร็จภายใน 1 ปี จากเดิมที่ใช้เวลา 3-5 ปี” ดร.วรวุฒิ กล่าวทิ้งท้าย