สถานการณ์ด้านทรัพยากรน้ำในประเทศไทยทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม และมลพิษทางน้ำ โดยเฉพาะในแม่น้ำและลำคลอง จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าการบริหารจัดการน้ำของประเทศไทยยังต้องได้รับการพัฒนาอย่างเร่งด่วน ทั้งในด้านเทคโนโลยี การวางแผนเชิงพื้นที่ และการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่พวกเราทุกคนต้องลุกขึ้นมาปกป้อง ‘น้ำ’ ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญต่อทุกชีวิตบนโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญในอนาคต บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมการสนับสนุนจาก บริษัท ซันโทรี่ โฮลดิ้งส์ จำกัด จึงได้ร่วมมือกันจัดทำโครงการ ‘วัน ซันโทรี่ มิซุอิกุ: เรารักษ์น้ำ’ประจำปี 2568 (One Suntory Mizuiku Program 2025)
โครงการ One Suntory Mizuiku มุ่งเน้นการส่งเสริมองค์ความรู้เรื่องทรัพยากรน้ำแก่เยาวชน พร้อมปลูกฝังจิตสำนึกในการใช้น้ำอย่างประหยัดในชีวิตประจำวัน โดยในปีที่ผ่านมา โครงการสามารถเข้าถึงนักเรียนกว่า 8,000 คน และครูผู้สอนกว่า 270 คน จากโรงเรียนในจังหวัดระยองรวม 30 แห่ง ผ่านกิจกรรมหลัก อาทิ ค่ายเยาวชนน้ำ “Mizuiku Water Hero Camp” และการประกวดโรงเรียนรักษ์น้ำ “Mizuiku Water School Contest” ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นให้เยาวชนได้นำความรู้ที่ได้รับไปลงมือปฏิบัติจริง พัฒนาโครงการอนุรักษ์น้ำในระดับชุมชน และขยายผลแนวคิดดังกล่าวอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกและมอบองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำให้แก่เยาวชน โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา โครงการฯ ของเราได้ส่งมอบองค์ความรู้ให้แก่เยาวชน 8,115 คน และคุณครู 270 คน จาก 30 โรงเรียนในจังหวัดชลบุรีและระยอง

โอเมอร์ มาลิค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ประเทศไทยและอินโดไชน่า บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า โครงการ “วัน ซันโทรี่ มิซุอิกุ: เรารักษ์น้ำ” ถือเป็นโครงการที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายด้านการเข้าถึงน้ำสะอาดทั่วโลก แม้ว่าน้ำจะครอบคลุมพื้นที่ถึง 70% ของพื้นผิวโลก แต่ยังคงมีประชากรอีกหลายพันล้านคนที่ไม่สามารถเข้าถึงน้ำสะอาดได้อย่างเพียงพอ เช่น ปากีสถาน ซึ่งเป็นประเทศที่มีภูมิอากาศแห้งแล้ง ประชาชนต้องเผชิญจากการขาดแคลนน้ำสะอาด หลายประเทศทั่วโลกเผชิญกับภาวะภัยแล้งที่ยาวนาน ในขณะที่ประเทศไทยเองก็ประสบปัญหาน้ำท่วมอย่างรุนแรง ภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้การเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาดกลายเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ยากขึ้น และทวีความเร่งด่วนมากยิ่งขึ้น
แม้ประเทศไทยจะมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อปีในระดับที่ค่อนข้างสูง แต่ก็ยังคงเผชิญกับปัญหาภัยแล้งตามฤดูกาล น้ำท่วม และความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงแหล่งน้ำ ซันโทรี่มีความเชื่อว่า “น้ำคือชีวิต” ซึ่งสอดคล้องกับความหมายของคำว่า Mizuiku และเราเชื่อมั่นว่าการปกป้องทรัพยากรน้ำเป็นหน้าที่ของทุกคน โดยควรเริ่มจากการสร้างความตระหนักรู้ โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนรุ่นใหม่ และขยายองค์ความรู้นี้ไปสู่สาธารณชนในวงกว้าง
โครงการนี้เริ่มต้นในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2562 โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำให้กับเด็กและเยาวชน ซึ่งน้ำถือเป็นทรัพยากรหลักที่อยู่ใจกลางของธุรกิจซันโทรี่ การให้ความรู้จึงไม่ได้จำกัดเฉพาะในห้องเรียนทั่วไป แต่ใช้ “ห้องเรียนธรรมชาติ” เป็นเครื่องมือสำคัญ เพื่อให้เด็กได้สัมผัส เรียนรู้ และเข้าใจวงจรของน้ำอย่างลึกซึ้งผ่านประสบการณ์จริง พร้อมปลูกฝังให้เด็กสามารถส่งต่อความรู้และความตระหนักนี้ไปยังเพื่อน ครอบครัว และชุมชนโดยรอบ
ในปีนี้ โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 30 แห่ง จะได้รับงบประมาณสนับสนุนโรงเรียนละ 10,000 บาท เพื่อนำไปพัฒนาโครงการด้านสิ่งแวดล้อม โดยเน้นให้เด็กและครูมีส่วนร่วมตั้งแต่การออกแบบ การดำเนินกิจกรรม จนถึงการขยายผลสู่โรงเรียนโดยรอบ เช่น การจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับปัญหามลพิษทางน้ำ หรือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้เข้าถึงน้ำสะอาดได้มากขึ้น โดยโรงเรียนที่ชนะเลิศจะได้เดินทางไปศึกษาดูงานที่ประเทศญี่ปุ่น

“ซันโทรี่ยังเดินหน้าขยายผลโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการสร้างสังคมของเด็กที่รักน้ำ ผ่านการจัดตั้ง “มิซุอิกุคลับ” ในโรงเรียนต่างๆ ซึ่งเริ่มจากเพียง 15 โรงเรียนในปี 2565 และขยายเพิ่มขึ้นมากกว่า 90 โรงเรียนในปัจจุบัน บางแห่งยังมีการจัดกิจกรรมต่อเนื่องในรูปแบบของมินิแคมป์เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจ และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างลึกซึ้ง โดยซันโทรี่จะกลับไปเยี่ยมชมโรงเรียนที่เคยเข้าร่วมโครงการ เพื่อส่งเสริม สนับสนุน และติดตามความต่อเนื่องของผลกระทบเชิงบวกที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่” โอเมอร์ มาลิค กล่าว

ทานุจ ชาดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากการดำเนินโครงการที่ผ่านมา พบว่าเด็กๆ มีความเข้าใจพื้นฐานว่าควรประหยัดน้ำ แต่ยังขาดโครงสร้างความคิดที่จะนำเสนอหรือถ่ายทอดอย่างเป็นระบบ โครงการจึงกิจกรรมเชิงลึก เช่น ค่ายฝึกอบรมที่ให้เด็กได้เรียนรู้ทั้งเนื้อหาและทักษะในการถ่ายทอดความรู้สู่ชุมชน รวมถึงการออกแบบโครงการที่สามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงได้จริง โดยใช้การทดสอบวัดความรู้ของเด็กๆ ผ่านการทำ Pre-test และ Post-test ซึ่งพบว่าหลังผ่านค่ายฝึกอบรม เด็กมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น 6% นับเป็นความก้าวหน้าที่มีนัยสำคัญ
โครงการยังได้รับความร่วมมือจากกระทรวงศึกษาธิการในการคัดเลือกโรงเรียน โดยจะเน้นโรงเรียนระดับกลางที่มีศักยภาพในการขยายผล โดยตลอดระยะเวลาไม่น้อยกว่า 3 เดือน โรงเรียนที่เข้าร่วมจะต้องพัฒนาโครงการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำและสิ่งแวดล้อม ซึ่งในปีนี้เราให้ความสำคัญกับระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพมากขึ้น เพื่อขยายมุมมองของเด็กให้ครอบคลุม
“ซันโทรี่ โฮลดิ้งส์ ประเทศญี่ปุ่น ได้ตั้งเป้าหมายในการอบรมเยาวชนอายุระหว่าง 10-12 ปี ให้ได้ 5 ล้านคนทั่วโลก ภายในปี 2030 ปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมโครงการเกิน 1 ล้านคนแล้ว โดยเริ่มต้นครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2004 ก่อนจะขยายไปยังประเทศต่างๆ เช่น เวียดนาม ไทย ฝรั่งเศส จีน สเปน อังกฤษ นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย” ทานุจ กล่าว

ด้าน ชนิกานต์ บุญราศร ครูจากโรงเรียนนันทนวิทย์ จังหวัดชลบุรี กล่าวว่า ปัจจุบันในโรงเรียนของเรามีการสอนเรื่องการอนุรักษ์น้ำโดยเน้นในเรื่องการประหยัดน้ำเป็นหลัก จึงคิดว่าการมาเข้าร่วมค่ายนี้เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้เรียนรู้การสอนในรูปแบบใหม่ ๆ ที่สามารถนำไปปรับใช้ในการเรียนการสอนที่โรงเรียนของเราได้ โดยนอกจากที่ค่ายนี้จะให้ความรู้กับเราเพื่อนำกลับไปใช้แล้ว กิจกรรมต่างๆ ยังได้ปลุกความเป็นผู้นำในตัวนักเรียน เพื่อให้เขาสามารถกลายเป็นแกนนำในการเอาความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์น้ำ ที่ได้ไปต่อยอดกับคนในโรงเรียนและชุมชน ค่ายมิซุอิกุ ผู้พิทักษ์รักษ์น้ำ จึงถือเป็นค่ายที่ทำให้ทั้งครูกับเด็กนักเรียนมีแรงบันดาลใจ และความตื่นตัวเรื่องการอนุรักษ์น้ำ
พิชญาพร ลิทา นักเรียนโรงเรียนนันทนวิทย์ จังหวัดชลบุรี กล่าวว่า ค่ายนี้นอกจากจะได้ความรู้เรื่องการอนุรักษ์น้ำแล้ว ยังได้พบเจอเพื่อนใหม่ ๆ จากหลายโรงเรียน และจะนำความรู้ที่ได้ในวันนี้กลับไปใช้ต่อที่โรงเรียน ตัวอย่างสิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันนี้และสามารถทำตามได้เลยง่าย ๆ คือการแยกขยะให้ถูกต้อง เพราะหากเราแยกขยะถูกประเภท ไม่ทิ้งขยะลงนอกถัง ก็จะช่วยลดการเกิดน้ำเสียจากขยะที่จัดการไม่ถูกวิธี และทำให้ไม่มีของเสียไปปนเปื้อนในแม่น้ำลำคลอง