ไทยผนึกพลังเยอรมนี เดินหน้าบูรณาการข้ามภาคส่วนสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน ผ่านเวที Synergised Thailand 2025


โครงการความร่วมมือไทย–เยอรมันด้านพลังงาน การขนส่ง และสภาพภูมิอากาศ (TGC EMC) โดยองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ร่วมกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) เปิดเวทีประชุมระดับชาติ “Synergised Thailand 2025: Accelerating Sector Coupling to Power a Climate Action” เดินหน้าผนึกกำลังทุกภาคส่วนขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Net Zero) ภายในปี 2593

ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท กรุงเทพฯ ช่วงเช้าได้ปูพื้นฐานบริบทการเปลี่ยนผ่านพลังงานของประเทศไทย พร้อมนำเสนอแนวคิด Sector Coupling และกรณีศึกษาความสำเร็จจากทั้งในและต่างประเทศ อาทิ เทคโนโลยี Vehicle-to-X (V2X) ระบบดิจิทัลบริหารจัดการพลังงาน และตัวอย่างหมู่บ้าน Wildpoldsried ประเทศเยอรมนี ที่ผสานพลังงานหมุนเวียนเข้ากับวิถีชีวิตชุมชนอย่างยั่งยืน ส่วนช่วงบ่ายแบ่งเป็น 2 ห้องสัมมนาย่อย ได้แก่ ห้อง “พลังงานกับการขนส่ง” ที่มุ่งเน้นบทบาทเทคโนโลยี Vehicle-to-Grid (V2G) ต่ออนาคตพลังงานสะอาด และห้อง “พลังงานกับการเกษตร” ที่เน้นเทคโนโลยีชีวมวลและ Agrivoltaics เพื่อใช้พลังงานแสงอาทิตย์ร่วมกับภาคเกษตร พร้อมกรณีศึกษาที่ประยุกต์ใช้ได้ในบริบทไทย

โยฮันเนส แคร์เนอร์

โยฮันเนส แคร์เนอร์ ที่ปรึกษาความร่วมมือทางเศรษฐกิจ สถานเอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ประจำประเทศไทย กล่าวเปิดการประชุมว่า แนวคิด Sector Coupling เป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนของเยอรมนี และเป็นบทเรียนสำคัญที่ประเทศไทยสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2593 ทั้งนี้ การเชื่อมโยงภาคส่วนที่เคยทำงานแยกกันจะช่วยลดคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมขับเคลื่อนนวัตกรรมและเศรษฐกิจไปพร้อมกัน

ปาริชาติ หาญเรืองเดช

ปาริชาติ หาญเรืองเดช ผู้อำนวยการกลุ่มบัญชีก๊าซเรือนกระจก กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม   กล่าวว่า   แนวทาง Sector Coupling ยังถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับหลายภาคส่วนในประเทศไทย จึงต้องอาศัยพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้และมุมมองจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อสร้างความเข้าใจและแนวทางที่เหมาะสมกับบริบทไทย การประชุม

ครั้งนี้จึงเปรียบเสมือนชุมชนนักปฏิบัติที่ร่วมสร้าง นิเวศแห่งความร่วมมือ เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างยั่งยืน

ในการประชุมครั้งนี้ยังได้เผยทิศทางนโยบายและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมระดับนานาชาติ อาทิ   สหภาพยุโรป (EU) เดินหน้าข้อตกลง European Green Deal ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างน้อย 55% ภายในปี 2573 พร้อมใช้กลไกCarbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) หรือมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน  กำหนดให้สินค้านำเข้าจ่ายราคาคาร์บอนใกล้เคียงกับผู้ผลิตใน EU ภายใต้ระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสหภาพยุโรป (European Union Emissions Trading System : EU ETS)  ขณะที่ญี่ปุ่น ดำเนินนโยบาย Green Growth Strategy ตั้งเป้าความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 พร้อมใช้มาตรการ Global Warming Countermeasure Tax ภาษีเฉพาะเพื่อลดโลกร้อน ระบบเครดิตคาร์บอนภาคสมัครใจ (J-Credits) และเตรียมเริ่มระบบ EU  ETS ในปี 2026 รวมถึงแผนเก็บค่าภาระผู้นำเข้าพลังงานฟอสซิลตามการปล่อยคาร์บอน เริ่มในปี 2028

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้กำหนดนโยบายสำคัญเพื่อรับมือปัญหาภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเน้นการติดตั้งระบบเตือนภัยในพื้นที่เสี่ยงสูง ฟื้นฟูประชาชนผู้ประสบภัย อนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ จัดการน้ำอย่างเป็นระบบ และผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050

อินซ่า อิลเก้น ผู้อำนวยการโครงการ TGC EMC จาก GIZ กล่าวว่า  วัตถุประสงค์หลักของการประชุมคือการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับ Sector Coupling และเปิดเวทีให้ผู้เข้าร่วมได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติและวางแผนขั้นต่อไปสำหรับปีหน้า โดยเน้นการเรียนรู้ร่วมกันและขยายผลสู่การปฏิบัติจริง

สำหรับโครงการ TGC EMC ดำเนินงานโดย GIZ ด้วยทุนสนับสนุนจากแผนงานปกป้องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับสากล (IKI) ของรัฐบาลเยอรมนี ร่วมมือกับ 7 หน่วยงานภาครัฐไทย ได้แก่ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) และกรุงเทพมหานคร (กทม.) โดยดำเนินงานใน 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ พลังงานหมุนเวียน คมนาคม การลดคาร์บอนในอุตสาหกรรม ชีวมวล และการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ThaiCI)

Synergised Thailand 2025

การประชุม “Synergised Thailand 2025” นับเป็นอีกก้าวสำคัญของความร่วมมือไทย–เยอรมันในการผลักดันประเทศไทยสู่อนาคตคาร์บอนต่ำ ผ่านการบูรณาการข้ามภาคส่วน เสริมสร้างความเข้าใจด้านพลังงานยั่งยืน และขับเคลื่อนประเทศสู่เป้าหมาย Net Zero อย่างมั่นคงในระยะยาว