Thai SCP รวมพลังรัฐ–เอกชน เร่งเครื่องการผลิตและการบริโภคยั่งยืน ปูทาง Net Zero 2050


แรงกดดันจาก วิกฤตโลกร้อน วิกฤตทรัพยากร และพฤติกรรมการผลิต รวมถึงการบริโภคที่ยังเกินขีดจำกัดของโลก คำถามสำคัญของสังคมไทยไม่ใช่เพียง “จะเติบโตอย่างไร” แต่คือ “จะเติบโตอย่างยั่งยืนได้จริงหรือไม่” ดังนั้นการประชุมวิชาการเครือข่ายส่งเสริมการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนแห่งประเทศไทยประจำปี 2568 ภายใต้หัวข้อ “การเติบโตที่ยั่งยืนด้วยนวัตกรรมการผลิตและการบริโภคอย่างรับผิดชอบ” จึงถูกจัดขึ้นในฐานะเวทีเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติการ เพื่อหาคำตอบร่วมกันของทุกภาคส่วน

การประชุมครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง กรมควบคุมมลพิษ, กรุงเทพมหานคร และสมาคมส่งเสริมการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน (ประเทศไทย) หรือ Thai SCP Network ร่วมกับ กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) และ สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน พร้อมเร่งเครื่อง “เศรษฐกิจหมุนเวียน” ให้ก้าวทันเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และความท้าทายของโลกเดือด

ภัทรานันท์ ทองประพาฬ

ภัทรานันท์ ทองประพาฬ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่า การพัฒนาในระยะต่อไปไม่อาจแยกเศรษฐกิจออกจากสิ่งแวดล้อมได้อีกต่อไป รัฐบาลจึงยกระดับความมุ่งมั่นด้านสภาพภูมิอากาศ ด้วยการปรับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ให้เร็วขึ้นจากปี ค.ศ. 2065 เป็นภายในปี ค.ศ. 2050 หรือเร็วขึ้นถึง 15 ปี ซึ่งถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของสังคม

นอกจากประเด็นคาร์บอนแล้ว รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับปัญหา “ขยะอาหาร” ซึ่งเป็นหนึ่งในต้นตอสำคัญของการสูญเสียทรัพยากรและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ผลักดันนโยบาย Zero Food Waste นำร่องในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ และเตรียมพิจารณามาตรการทางกฎหมาย เพื่อเชื่อมโยงการจัดการขยะอาหารเข้ากับกระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) สำหรับโครงการขนาดใหญ่ สร้าง “มาตรฐานใหม่” ให้การพัฒนาโครงการต้องคำนึงถึงผลกระทบตลอดวงจรชีวิตอย่างเป็นระบบ

ดร.วิจารย์ สิมาฉายา

ด้าน ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ในฐานะประธาน Thai SCP Network กล่าวว่า การประชุมวิชาการในปีนี้จัดขึ้นในช่วงเวลาที่มีนัยสำคัญ เนื่องจากโลกกำลังนับถอยหลังสู่เส้นตายของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในปี 2030 โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 12 (SDG 12) ว่าด้วยการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน ซึ่งเปรียบเสมือน “จุดเชื่อมกลาง” ของทุกมิติการพัฒนา หากสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในระดับโครงสร้างพื้นฐานนี้ได้ จะส่งผลโดยตรงต่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

ในช่วงที่ผ่านมา Thai SCP Network ได้ยกระดับบทบาทจากเครือข่ายความร่วมมือเชิงจิตอาสา สู่การเป็น “สมาคม” อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำหน้าที่เป็นกลไกกลาง เชื่อมโยงนโยบายและนวัตกรรมระดับโลกสู่การลงมือปฏิบัติในระดับพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม หนึ่งในตัวอย่างสำคัญ คือ ความร่วมมือกับ Institute for Global Environmental Strategies (IGES) ประเทศญี่ปุ่น ในการขับเคลื่อนโครงการ “บูรณาการจัดการทรัพยากรพันธมิตรการท่องเที่ยวยั่งยืนกระบี่เพื่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน” (Krabi Sustainable Tourism Partnerships for Integrated Resource Management toward SDGs) จังหวัดกระบี่ ซึ่งสะท้อนการนำกรอบคิด SCP ไปประยุกต์ใช้กับบริบทพื้นที่จริง ควบคู่กับการเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือระดับภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิก ผ่านเครือข่าย APSCP เพื่อยกระดับบทบาทของประเทศไทยในเวทีภูมิภาค

“สำหรับทิศทางในอนาคต สมาคมฯ จะมุ่งเน้นการผลักดันนโยบายสู่การปฏิบัติจริง โดยล่าสุดได้ผนึกกำลังลงนาม MOU ร่วมกับ กรมบัญชีกลาง กรมควบคุมมลพิษ และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก เพื่อขับเคลื่อนมาตรการ “การจัดซื้อจัดจ้างสีเขียวภาครัฐ (Green Public Procurement)” อย่างเป็นรูปธรรม โดยร่วมมือกับภาครัฐในการกำหนดทิศทางการข้อบังคับสำหรับการสร้างตลาดสีเขียวให้เกิดขึ้นในประเทศไทย เพื่อกระตุ้นให้ภาคอุตสาหกรรมเร่งปรับตัวสู่การผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม” ดร.วิจารย์ กล่าว

ธนัญชัย วรรณสุข

ธนัญชัย วรรณสุข รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวถึง สนธิสัญญาพลาสติกโลก และระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนของประเทศไทยว่า ทิศทางกติกาโลกด้านการจัดการพลาสติกกำลังเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว และประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งปรับตัวให้ทันต่อความคาดหวังใหม่ของสังคมโลก โดยเฉพาะการขับเคลื่อนภายใต้ แผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติก ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566–2570) ซึ่งตั้งเป้าหมายท้าทายสำคัญ คือ การนำขยะพลาสติกเป้าหมายกลับเข้าสู่ระบบรีไซเคิลให้ได้ 100% ภายในปี 2570 ควบคู่กับการลดปริมาณขยะพลาสติกที่ต้องนำไปฝังกลบ และป้องกันไม่ให้หลุดรอดลงสู่ทะเลและแหล่งน้ำ

“หัวใจของการขับเคลื่อนอยู่ที่การปรับทั้ง “ต้นทาง–กลางทาง–ปลายทาง” ตั้งแต่การส่งเสริมการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่รีไซเคิลได้ (Eco-design) การลดการใช้พลาสติกที่ไม่จำเป็น ไปจนถึงการยกระดับระบบจัดการและการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มข้นมากขึ้นในอนาคต เพื่อให้การจัดการพลาสติกเป็นไปอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน” ธนัญชัย กล่าว

ในภาพรวม การจัดการขยะพลาสติกกำลังกลายเป็นวาระร่วมของทุกภาคส่วนทั่วโลก ท่ามกลางสถานการณ์ที่มีขยะพลาสติกไหลลงสู่ทะเลและมหาสมุทรมากกว่า 11 ล้านตันต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าในปี 2040 หากไม่มีมาตรการที่จริงจัง ซึ่งประเทศไทยมี “เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)” เป็นทุนเดิมสำคัญในการต่อยอดการแก้ปัญหา โดยถือเป็นหนึ่งในกลไกหลักของการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) และการสร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

ในระดับประเทศ ไทยได้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติกมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่แผนระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563–2565) จนถึงระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566–2570) และขณะนี้กำลังเข้าสู่ช่วงเตรียมจัดทำแผนยุทธศาสตร์ใหม่ภายใต้กรอบปี พ.ศ. 2567–2573 โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการเปลี่ยนระบบการจัดการพลาสติกจากเศรษฐกิจเชิงเส้น ไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างเต็มรูปแบบภายในปี 2573 ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและโมเดลเศรษฐกิจที่เน้นการเติบโตควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตประชาชน

การเดินหน้าสู่ “สนธิสัญญาพลาสติกโลก” จึงได้สะท้อนชัดว่าประเทศต่าง ๆ กำลังยกระดับการจัดการพลาสติกอย่างจริงจังและเข้มข้นมากขึ้น ซึ่งสอดรับกับทิศทางของประเทศไทยในการลดการใช้พลาสติกที่ไม่จำเป็น ออกแบบผลิตภัณฑ์ให้รีไซเคิลได้ และบูรณาการนโยบายระดับโลกเข้ากับการดำเนินงานในประเทศ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน กระตุ้นการลงทุนในอุตสาหกรรมสีเขียว และมีส่วนร่วมอย่างเป็นรูปธรรมในการแก้ปัญหาขยะพลาสติกของโลกอย่างยั่งยืน

ความสำเร็จของการประชุมในวันนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ตอกย้ำว่า การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน (SDG 12) เป็นทางรอดของประเทศไทยในการรับมือกับวิกฤตโลกเดือด โดยสมาคมส่งเสริมการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน (ประเทศไทย) หรือ Thai SCP พร้อมยืนหยัดทำหน้าที่เป็นที่แข็งแกร่งในการเชื่อมโยงนโยบายระดับประเทศสู่นวัตกรรมและการปฏิบัติในระดับพื้นที่ เพื่อผนึกกำลังภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนให้ก้าวไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับลูกหลานไทยในอนาคตได้อย่างมั่นคง