รัฐมนตรีพลังงานส่งสัญญาณ เตรียมแผนส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) คลอบคลุมทั้งระบบ โดยเฉพาะในส่วนแบตเตอรี่หัวใจหลักของ EV ปูทางสู่การเป็นฐานการผลิตแบตเตอรี่ของภูมิภาค พร้อมตั้งเป้าให้ไทยเป็นผู้นำด้านรถยนต์อีวีในภูมิภาคนี้ โดยมาตรการทั้งหมดจะประกาศภายในสิ้นปี 2562 นี้
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผย กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการเตรียมแผนการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อให้คลอบคลุมทั้งระบบ โดยเฉพาะในส่วนของแบตเตอรี่ ที่เป็นหัวใจหลักของรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อนำไปสู่การเป็นฐานผลิตแบตเตอรี่ของภูมิภาค พร้อมเป้าหมายให้ไทยเป็นผู้นำด้านรถยนต์อีวีในภูมิภาคนี้ เนื่องจากมองว่า แผนการส่งเสริมรถไฟฟ้าในปัจจุบัน ยังมีความล่าช้า ไม่ค่อยได้รับการตอบสนองจากผู้ใช้และผู้ผลิตมากนัก หากแผนยังไม่ชัดเจน จะยิ่งส่งผลให้ประเทศไทยเสียโอกาสได้ เพราะในขณะนี้ ทั้งประเทศอินโดนีเซีย และเวียดนาม ได้มีการประกาศเป็นผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้าไปแล้ว อีกทั้งการสนุบสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้ายังช่วยแก้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ได้ด้วย โดยคาดมาตรการทั้งหมดจะประกาศได้ภายในสิ้นปี 2562 นี้
โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ อาทิ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง รวมถึงภาคเอกชนและค่ายรถยนต์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อระดมข้อมูลจัดทำเป็นแผนการส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์สมัยใหม่ ใน 3 เทคโนโลยีหลัก ซึ่งได้แก่ รถปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งเป็นรถที่ใช้น้ำดีเซลร่วมกับแบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) หรือรถที่ใช้แบตเตอรี่ แบบ 100% และ รถ Fuel Cell หรือ รถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจน
สำหรับแผนการส่งเสริมการใช้รถยนต์อีวีนั้น นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า จะต้องมีแรงจูงใจให้กับผู้บริโภคที่จะเข้าถึงการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า และสร้างแรงจูงใจให้กับให้ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงต้องเตรียมความพร้อมในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการใช้งานด้วย ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของสถานีชาร์จไฟฟ้า และธุรกิจเช่าแบตเตอรี่ เป็นต้น ซึ่งจะใช้ทั้งมาตรการทางด้านภาษี รวมถึงการให้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนจากบีโอไอ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ทั้งนี้ คาดว่าการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า จะใช้เวลาภายใน 5 ปี คือ ตั้งแต่ปี 2563-2567 ซึ่งจะสอดรับกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย ปี 2561-2580 หรือแผน PDP 2018 ซึ่งต้องเตรียมความพร้อมด้านกำลังการผลิตไฟฟ้า เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในอนาคต