บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าคุณภาพเพื่อโลกที่ยั่งยืน รายงานผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2565 ด้วยกำไรสุทธิ 3,604 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 67 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) รวม 5,083 ล้านบาท สะท้อนถึงความสามารถในการรักษาเสถียรภาพการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าทุกแห่ง รวมทั้งสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงด้านต้นทุนพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีกระแสเงินสดแข็งแกร่ง บริษัทฯ ยังคงมุ่งขยายพอร์ตธุรกิจตามกลยุทธ์ Greener & Smarter พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมาย 5,300 เมกะวัตต์เทียบเท่าภายในปี 2568 จากปัจจุบันที่มีกำลังผลิตไฟฟ้า 3,272 เมกะวัตต์

กิรณ ลิมปพยอม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในครึ่งแรกของปี 2565 บ้านปู เพาเวอร์ให้ความสำคัญต่อการรักษาเสถียรภาพการผลิตของโรงไฟฟ้าทุกแห่ง และยังคงสามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างแข็งแกร่ง ท่ามกลางสถานการณ์ต้นทุนเชื้อเพลิงที่ผันผวน รวมถึงการเข้าไปดำเนินงานในตลาดซื้อขายไฟฟ้าเสรีในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา เมื่อปลายปี 2564 ซึ่งได้เพิ่มโอกาสในการทำกำไรให้บริษัทฯ เมื่อมีความต้องการใช้ไฟฟ้าในตลาดที่สูงขึ้น ในขณะเดียวกันยังสามารถสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอจากการเข้าทำสัญญาอนุพันธ์ในสัดส่วนที่เหมาะสม โดยบริษัทฯ ยังคงได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนเป็นอย่างดีสะท้อนจากผลตอบรับที่ล้นหลามจากการจองหุ้นกู้จำนวน 5,500 ล้านบาทในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2565 ของบ้านปู เพาเวอร์ ปัจจัยหลักเกิดจากการเดินเครื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าเอชพีซี (HPC) ในสปป.ลาว และโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP) ในไทย ที่มีค่าความพร้อมจ่าย (Equivalent Availability Factor: EAF) สูงถึงร้อยละ 91 และร้อยละ 94 ตามลำดับ ทำให้สามารถผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง
นอกจากนี้ยังรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติ Temple I ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น เนื่องจากมีปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าในช่วงเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาซื้อขายไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม (Combined Heat and Power: CHP) ทั้ง 3 แห่งในจีน มีปริมาณการขายและราคาขายไอน้ำเพิ่มขึ้น จากความต้องการของลูกค้าอุตสาหกรรมบางส่วนที่ฟื้นตัวกลับมา
กีรณ กล่าวว่า ในส่วนของธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ในไตรมาส 3 ของปี 2565 คาดว่าจะรับรู้รายได้เพิ่มเติมจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชูง็อก (Chu Ngoc) กำลังผลิต 15 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์น็อนไห่ (Nhon Hai) กำลังผลิต 35 เมกะวัตต์ ประเทศเวียดนาม เนื่องจากเสร็จสิ้นกระบวนการซื้อขาย รวมถึงมีโอกาสในการเพิ่มเมกะวัตต์จากการดำเนินธุรกิจโซลาร์รูฟท็อปตอบสนองนโยบายสนับสนุนการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาของรัฐบาลท้องถิ่นในมณฑลเจิ้งติ้ง ในประเทศจีนอีกด้วย ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างกระแสเงินสดให้แก่บริษัทฯ
นอกจากนี้ บ้านปู เพาเวอร์ยังคงมุ่งมั่นสร้างการเติบโตในธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานผ่านการลงทุนในบ้านปู เน็กซ์ ล่าสุดได้ลงนามความร่วมมือกับเชิดชัยมอเตอร์เซลส์ และดูราเพาเวอร์ สร้างโรงงานประกอบแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนในไทย ตั้งเป้ากำลังการผลิต 1 กิกะวัตต์ชั่วโมง (GWh) ภายในปี 2569 ซึ่งเป็นนัยยะสำคัญในการก้าวสู่การเป็นผู้นำด้าน Energy Storage
สำหรับการบริหารจัดการความเสี่ยงต้นทุนพลังงานในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 ในส่วนของโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่สหรัฐอเมริกาเป็นรูปแบบของการร่วมทุน Joint Venture โดยบ้านปู จะมี Storage เพื่อเก็บก๊าซธรรมชาติและเติมก๊าซธรรมชาติอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ก๊าซธรรมชาติมีราคาดี ซึ่งเป็นการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านพลังงาน ทั้งนี้ธุรกิจ Energy Trading ในสหรัฐอเมริกาถือว่าสร้างผลกำไรได้เป็นอย่างดี จึงจัดตั้งทีมงาน เพื่อดูแลพลังงานในสหรัฐอเมริกา
ด้านโรงไฟฟ้า BLCP ด้วย Business Model ที่ทำไว้จะมีราคา Plus to ไปที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)100% จึงไม่มีความเสี่ยงและไม่กระทบต่อธุรกิจ ส่วนโรงไฟฟ้าในจีน เนื่องจากจีนให้ความสำคัญต่อนโยบายพลังงาน จีนจึงบริหารต้นทุนพลังงานและเชื้อเพลิงตั้งแต่ต้นน้ำ โดยให้เหมืองผลิตเชื้อเพลิงมากขึ้น กลางน้ำ ผลิตเชื้อเพลิงราคาถูก เช่น โครงการ SLG ซึ่งมีนโยบายดำเนินการไปจนถึงมีนาคม 2566 และปลายน้ำ ให้ปรับค่าไฟฟ้าได้ 20% เพื่อลดความเสี่ยงจากราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น รวมทั้งมีสัญญาซื้อต้นทุนเชื้อเพลิงจากปลายน้ำ
“บ้านปู เพาเวอร์ ดำเนินธุรกิจโดยยึดหลักความยั่งยืน โดยสร้างการเติบโตทางธุรกิจและการลงทุนภายใต้กลยุทธ์ Greener & Smarter ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีโรงไฟฟ้า 8 ประเทศรวมทั้งประเทศไทย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสินทรัพย์ของบริษัทฯ ให้ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการใช้เทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้า และนำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาเพื่อพัฒนาการดำเนินธุรกิจให้ตอบสนองต่อรูปแบบการใช้พลังงานในอนาคต” กีรณ กล่าว