บริษัท เวิลด์ เมดิคอล อัลไลแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัดและ บริษัท CISW จับมือ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) (TCEB) จัดการประชุม The Global Medical Cannabis and Herbs Forum ครั้งที่ 1 เพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการแพทย์โลก พร้อมส่งเสริมผลิตภัณฑ์ Green Medicine สร้างมูลค่าเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจของประเทศให้แข่งขันกับต่างประเทศได้
เวิลด์ เมดิคอล จับมือรัฐ-เอกชน
มุ่งให้ไทยเป็น Hub of Herb and Knowledge
ศิริญา เทพเจริญ ประธานบริหาร บริษัท เวิลด์ เมดิคอล อัลไลแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เวิลด์ เมดิคอลฯ ทำงานร่วมงานกับภาคเอกชนและภาครัฐมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำร่องสร้างเศรษฐกิจรับการเปิดประเทศโดยเฉพาะการการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์เน้นสุขภาพ การรักษา เพิ่มคุณค่าด้วย นวัตกรรม เทคโนโลยีใหม่ๆ ด้วยพืชสมุนไพรไทยที่มีอยู่ในประเทศ ซึ่งนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้การยอมรับ เพื่อให้ประเทศไทยคือ Hub of Herb and Knowledge โดยสร้าง Network ที่เกี่ยวข้องกับ Medical Cannabis and Herbs ให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกอยากเดินทางมาประเทศไทย เพื่อมาหาแรงบันดาล เกี่ยวกับ Medical CBD and Herbs เบื้องต้นจะใช้ “กัญชา” พืชเศรษฐกิจตัวใหม่ที่จะก้าวมาอยู่แถวหน้าของพืชหลักเศรษฐกิจของไทย มาสร้างแรงบันดาลใจสู่นักท่องเที่ยวทั่วโลก ประกอบกับการอ้างอิงข้อมูลจาก Google 74% ของนักท่องเที่ยว วางแผนเที่ยวด้วยออนไลน์ ซึ่งส่วนใหญ่ คือนักท่องเที่ยวคนรุ่นใหม่ ประเทศไทยจึงเป็นประเทศมีศักยภาพสูงและควรผลักดันการเติบโตของ Tech Tourism โดยเฉพาะธุรกิจที่มีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวแบบหรูหรา (Luxury Travel) ซึ่งลักษณะของ Luxury Travel Tech คือ การให้บริการแพลตฟอร์มที่ออกแบบแพกเกจการท่องเที่ยวเฉพาะบุคคล แบบ Exclusive และ Personalization เพื่อสร้างประสบการณ์ในการท่องเที่ยว
อีกทั้งประเทศไทยเป็นอันดับที่ 5 ของโลกด้าน Medical Tourism จากข้อมูลในปี พ.ศ.2562 ก่อนเกิด COVID-19 ประเทศไทยมีรายได้จากกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการแพทย์มากถึง 630 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในส่วนของการพัฒนาด้าน Health Tech โดยเปรียบเทียบกับ 4 ประเทศในอาเซียน พบว่าประเทศไทยมีจำนวนการสนับสนุนสูงที่สุด นอกจากจำนวนเม็ดเงินของการลงทุน ทั้งนี้แพลตฟอร์มทางการแพทย์ ที่เป็น Mega Trend ของโลกคือ การแพทย์ที่เชื่อใน Green Medicine และ นวัตกรรมเพื่อการแพทย์ทางเลือกสมัยใหม่ ที่เชื่อว่า คนทุกคนสามารถเข้าถึงการรักษาแบบ Alternative Medical จากทั่วโลกได้ จึงมุ่งเน้นการศึกษา และวิจัยด้านพืชที่รักษาโรค และนวัตกรรมของศาสตร์ชะลอวัยด้านความสวยงาม การรักษาโรคและยับยั้งโรคบางชนิด ที่จะช่วยทำให้คนไทยและคนทั่วโลกมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคลดลง ซึ่งทาง เวิลด์ เมดิคอลฯ ได้ให้ความสนใจพืช กัญชา เป็นพิเศษอันดับแรกเนื่องจากตลาดมีความต้องการ มีงานวิจัยจำนวนมากรองรับตลอด และสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศได้ดีกว่าพืชชนิดอื่นๆ ซึ่งช่วยจะให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
สำหรับการทำงานเพื่อใช้กัญชาเป็นพืชสมุนไพรสร้างผลิตภัณฑ์ต่างๆ ขณะนี้ได้
มีทีมงานทั้งภาครัฐ มหาวิทยาลัยพัฒนาผลิตภัณฑ์จากกัญชา
ส่งออกผลิตภัณฑ์ Green Medicine ไปทั่วโลก
สำหรับการทำงานเพื่อใช้กัญชาเป็นพืชสมุนไพรสร้างผลิตภัณฑ์ต่างๆ ขณะนี้ได้ร่วมกับทีมงานทั้งภาครัฐ มหาวิทยาลัยหรือนักวิจัยเพื่อทำตลาดเชิงรุก ส่งออกผลิตภัณฑ์ Green Medicine ไปทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นที่เป็นพันธมิตรประเทศแรกที่สนใจและร่วมลงนามความร่วมมือเพื่อศึกษาพัฒนากัญชาเพื่อให้ได้คุณสมบัติส่งออกตามที่ประเทศญี่ปุ่นต้องการภายในงาน “The Global Medical Cannabis and Herbs Forum” ครั้งที่ 1 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-13 พฤศจิกายน พ.ศ.2564 ณ My Ozone เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา
ในอนาคตมองตลาดส่งออกที่ประเทศเยอรมนีและสหรัฐอเมริกาไว้ แต่จะต้องดูข้อกฎหมายการค้าประกอบการทำการค้าขายระหว่างประเทศประกอบการตัดสินใจทำการค้าด้วย ทั้งนี้จะเริ่มปักหมุดทำการวิจัยกัญชาครบวงจรในพื้นที่เขาใหญ่เป็นพื้นที่แรก เพราะมีความเหมาะสมทั้งสภาพอากาศ สภาพดินและเกษตรกรในพื้นที่ให้การตอบรับจากการลงพื้นที่ให้ข้อมูลเบื้องต้นแล้ว
“ทำอย่างไรให้ทุกภาคส่วนเข้าใจและยอมรับองค์ความรู้ในการนำกัญชามาสกัดเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อนำมาใช้ทางสุขภาพให้มีความปลอดภัย ไม่ใช้เป็นสารเสพติดกับคนทั่วไป อีกทั้งกฎหมายในประเทศไทยที่ไม่เอื้อต่อการนำกัญชามาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ ซึ่งหากกฎหมายยังไม่ชัดเจน อาจจะต้องนำไปผลิตในประเทศที่กฎหมายเอื้อประโยชน์แล้วนำเข้าผลิตภัณฑ์จากกัญชามาจำหน่ายในประเทศไทยอีกที” ศิริญา กล่าว
สบส. สนับสนุนให้ไทยศูนย์กลางอุตสาหกรรมทางการแพทย์
และการท่องเที่ยวครบวงจร
อาคม ประดิษฐ์สุวรรณ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ประเทศไทยพยายามขับเคลื่อน Medical Hub ครั้งแรกในปี พ.ศ.2547 เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางด้านอุตสาหกรรมทางการแพทย์และการท่องเที่ยวครบวงจรให้ได้ จนกระทั่งในปีพ.ศ.2556 ได้จัดงาน Medical Hub Expo ครั้งแรกขึ้น ภายใต้ 4 ฐาน คือ 1.Medical Service Hub 2.Wellness Hub 3.Academic Hub และ 4.Product Hub ซึ่งภายหลังจากการจัดงานมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาใช้บริการทั้ง 4 ยุทธศาสตร์สูงถึง 1,200,000 ครั้ง ซึ่งถือว่าสูงมาก ถัดจากนั้นในปีพ.ศ.2559 ได้พัฒนายุทธศาสตร์ Medical Hub เข้า ครม.เป็นครั้งแรก และครม.ได้เห็นชอบพร้อมทั้งตั้งคณะกรรมการในการขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม จากนั้นมีการนำเรื่องสมุนไพรไทยที่มีอยู่เข้าไปประกอบในยุทธศาสตร์การทำงานด้วย จนกระทั่งปีพ.ศ. 2561 ประเทศไทยมีผู้รับบริการชาวต่างชาติมาใช้บริการด้าน Medical เพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า ประมาณ 3,200,000 ล้านครั้ง แสดงถึงการยอมรับการบริการของไทยและเพิ่มขึ้นมากขึ้นทุกๆปี และช่วงที่มากที่สุดหลังสถานการณ์น้ำท่วมเป็นต้นมาอยู่ที่ประมาณ 50,000,000 ครั้ง เพิ่มขึ้นกว่า 50 %
“หวังว่าการจัดงานในครั้งนี้ภายใต้ Green Medicine เพื่อพัฒนาประเทศไทยในการสร้างมูลค่าเพิ่มของการเป็นผู้นำทางด้านสุขภาพอนามัยนานาชาติ ซึ่งขณะนี้โรงพยาบาลเอกชนประมาณ 400 แห่ง คลินิกทางการแพทย์ประมาณ 3,200 แห่ง โรงพยาบาลของรัฐประมาณ 1,000 แห่งโรงพยาบาลส่งเสริมตำบลอีกหลายหมื่นแห่งและสถานที่นวด สปาครบวงจรที่ได้รับอนุญาตหลายพันแห่งพร้อมที่จะร่วมกันช่วยพลิกฟื้นให้จำนวนนักท่องเที่ยว ซึ่งลดลงจากสถานการณ์ COVID-19 กลับมาท่องเที่ยวในประเทศไทยโดยเฉพาะการท่องเที่ยวทางการแพทย์ครบวงจรที่นับจากนี้จะเน้นใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาที่มีหลักฐานทางวิชาการรองรับเข้ามาผสมผสานทั้งกัญชาที่ปลดล็อกแล้วเพื่อการท่องเที่ยว กัญชาเพื่อการแพทย์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการด้านสุขภาพด้วยกัญชามากขึ้น
ชี้ตลาดกัญชาในญี่ปุ่นมีมูลค่า 1,300 ล้านบาท
JCA พร้อมวิจัยพัฒนากัญชาร่วมกับผู้ประกอบการไทย
ดร.โทชิฮิโระ อิโต้ ประธานสมาคม JCA (Japan Cannabinoid Association) กล่าวว่า JCA มีหน้าที่ส่งเสริม ดูแล และสร้างตลาดกัญชาที่ปลอดภัยถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากกฎหมายญี่ปุ่นมีความเข้มงวด กฎหมายปราบปรามกัญชาจะอยู่เหนือกว่ากฎหมายอาหารและยา โดยการใช้กัญชงและกัญชาหรือ CBD จะต้องถูกต้องตามกฎหมายคือ THC ต้องเป็น 0 และ CBD ต้องสกัดจากลำต้นหรือเมล็ดเท่านั้น สำหรับตลาดกัญชาของประเทศญี่ปุ่นเริ่มต้นเมื่อเดือนเมษายน 2563 ที่ผ่านมา และตอนนี้ตลาดมีการขยายตัว โดยมูลค่ากัญชาในญี่ปุ่นปัจจุบันอยู่ที่ 4,000 ล้านเยนหรือเท่ากับ 1,300 ล้านบาท และคาดว่าในอนาคตญี่ปุ่นจะกลายจะเป็นตลาดใหญ่อันดับ 5 ของโลก
นอกจากนี้ญี่ปุ่นกำลังมองหาแหล่งผลิตในต่างๆเพิ่มเติม เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นไม่สามารถผลิตปลูก สกัดกัญชาได้ตามกฎหมาย และโชคดีที่ได้พันธมิตรภาคเอกชนของไทยในการผลิต สกัดกัญชาภายหลังจากประเทศไทยมีการปลดล็อกกัญชง กัญชา ซึ่ง JCA มีความตั้งใจที่จะร่วมวิจัยพัฒนาและแนะนำผู้ประกอบการไทยเกี่ยวกับกฎหมายกัญชาของญี่ปุ่น เพื่อให้ร่วมกันทำงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด