“โรงกลั่นอัจฉริยะ” ยิ่งไฮเทค ยิ่งมูลค่าเพิ่ม ผู้ลงทุนหวั่น ภัยไซเบอร์ยังเป็นอุปสรรคสำคัญ


          ธุรกิจพลังงานอย่างโรงกลั่นน้ำมัน นับเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่น่าจับตามองในวงการพลังงาน ในเรื่องของการขับเคลื่อนไปสู่การเป็นธุรกิจดิจิทัลอย่างแท้จริง ซึ่งที่ผ่านมา ก็ได้มีความพยายามที่จะนำเอาเทคโนโลยีดิจิตอลมาใช้ในโรงกลั่น ทว่ายังไม่มากพอ เมื่อเทียบกับมูลค่าเพิ่มที่ควรได้รับ จากการใช้เทคโนโลยีดังกล่าว  

          ผลวิจัยชุดใหม่ของ เอคเซนเชอร์ ประเทศไทย บริษัทที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ ให้คำปรึกษาทางธุรกิจ ดิจิทัล การบริหารเทคโนโลยีและการปฏิบัติการ  เผยให้เห็นว่าธุรกิจโรงกลั่นสามารถสร้างผลตอบแทนทางการเงินได้จากการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ แต่ก็ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์เต็มที่จากการสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยเทคโนโลยีอันก้าวล้ำอย่างที่ควรจะเป็น

          “ธุรกิจโรงกลั่นอัจฉริยะ” (Intelligent Refinery) เป็นงานวิจัยชิ้นที่สองที่เอคเซนเชอร์จัดทำเป็นรายปี เกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัลในอุตสาหกรรมการกลั่นน้ำมัน โดยได้ข้อมูลจากการสำรวจกลุ่มผู้บริหาร หัวหน้าสายงาน และวิศวกรในอุตสาหกรรมโรงกลั่น 170 คนทั่วโลก ซึ่งนอกจากผลวิจัยจะระบุถึงผลประโยชน์ทางการเงินจากเทคโนโลยีดิจิทัลแล้ว ยังชี้ให้เห็นว่าธุรกิจโรงกลั่นยังลงทุนไม่เต็มที่พอที่จะสามารถจัดการกับปัญหาภัยคุกคามทางไซเบอร์ ที่เพิ่มปริมาณขึ้นตามเทคโนโลยีดิจิทัล

          ผู้ตอบแบบสำรวจร้อยละ 41 ระบุว่า บริษัทของตนมองเห็นผลตอบแทนทางการเงินที่ได้จากการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้แล้ว ซึ่งรวมถึงกลุ่มที่มีสัดส่วนร้อยละ 30 ที่ยอมรับว่าเทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 7 ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา นอกจากนี้ หนึ่งในห้าหรือ ร้อยละ 20 ของผู้ตอบยังกล่าวว่าเทคโนโลยีดิจิทัลช่วยเพิ่มมูลค่าของธุรกิจได้ 50 – 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรืออาจมากกว่านั้น ส่วนผู้ตอบหนึ่งในสามหรือ ร้อยละ 33 ระบุว่า มูลค่าที่เพิ่มขึ้นอยู่ในช่วง 5 – 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

          ผลตอบแทนทางการเงินที่จับต้องได้อาจเป็นส่วนช่วยอธิบายถึงสาเหตุของการเพิ่มเม็ดเงินลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลของกิจการมากกว่าครึ่ง (ร้อยละ 59) ที่สำรวจในปีนี้ ซึ่งมีสัดส่วนใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยกิจการต่าง ๆ ได้ลงทุนด้านดิจิทัลมากขึ้นหรือมากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ เมื่อเทียบกับการลงทุนในระยะ 12 เดือนที่ผ่านมา นอกจากนี้ 3 ใน 4 หรือร้อยละ 75 ของผู้ตอบแบบสำรวจยังมีแนวโน้มเพิ่มการลงทุนอีกในช่วง 3 – 5 ปีนับจากนี้  ซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 60 ของผู้ตอบในปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่ายังมีความต้องการเทคโนโลยีดิจิทัลอีกมาก

          ในทำนองเดียวกัน ธุรกิจโรงกลั่นเกือบครึ่งหรือร้อยละ 48 ประเมินว่าได้ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในองค์กรเต็มที่หรือค่อนข้างเต็มที่แล้ว (เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 44 ในการสำรวจปีที่แล้ว) อย่างไรก็ดี โรงกลั่นส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลนอกเหนือจากระบบที่พัฒนาแล้วเช่น อนาลิติกส์

          เมื่อถามถึงเทคโนโลยีดิจิทัลที่ผลักดันให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นมากที่สุดสำหรับธุรกิจโรงกลั่น ผู้ตอบส่วนใหญ่ระบุว่าเป็นระบบควบคุมกระบวนการปฏิบัติงานที่ทันสมัย และระบบวิเคราะห์อนาลิติกส์ที่ก้าวหน้า ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ผู้ตอบร้อยละ 61 และ ร้อยละ 50 ตามลำดับ ซึ่งเป็นสองเทคโนโลยีที่คาดว่าจะมีการลงทุนในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ในขณะที่เทคโนโลยีอื่นๆที่จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้น เช่น เซนเซอร์เทคโนโลยี IoT เอดจ์คอมพิวติ้ง (edge computing) เทคโนโลยีความจริงผสม (mixed reality) เทคโนโลยีโมบิลิตี้ (mobility) บล็อกเชน/สมาร์ตคอนแทร็กส์ (blockchain / smart contract) จะนำมาใช้เพียงบางส่วนหรือใช้เป็นโครงการนำร่อง จึงมีแนวโน้มว่าจะได้รับการจัดสรรเงินทุนน้อยกว่า เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีที่ใช้อยู่แล้ว

          ด้วยเหตุนี้ องค์กรจึงจำเป็นต้องบริหารยุทธศาสตร์ด้านดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี ผู้บริหารประมาณ 1 ใน 4 หรือร้อยละ 24 เปิดเผยว่า ยังไม่มีบทบาทหน้าที่ที่ชัดเจนว่าใครจะมาขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านดิจิทัล ซึ่งที่จริง ผู้บริหารประมาณร้อยละ 43 ยังเผยว่า การไม่มีกลยุทธ์ด้านดิจิทัลที่ชัดเจนนี้เอง ที่เป็นอุปสรรคในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ เข้ามาใช้กับธุรกิจโรงกลั่น

         อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นแล้ว แม้จะมีผู้บริหารเพียงร้อยละ 11 ที่เผยว่ามีประธานเจ้าหน้าที่ด้านดิจิทัลเข้ามาทำหน้าที่ขับเคลื่อนวาระต่าง ๆ ด้านดิจิทัล แต่หลายองค์กรในธุรกิจโรงกลั่นได้มุ่งไปที่การปรับแนวทางกำกับดูแล เพื่อให้องค์กรสามารถปรับโฉมปฏิรูปไปสู่ยุคดิจิทัล (digital transformation)ได้ดียิ่งขึ้น พร้อมรับมือกับการหลอมรวมระหว่างเทคโนโลยีสารสนเทศและระบบปฏิบัติการต่าง ๆ สัดส่วนที่แน่ชัดคือ 1 ใน 3 หรือร้อยละ 34 ของผู้บริหาร เปิดเผยว่ากำลังเร่งปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ และมากกว่า 1 ใน 4 หรือร้อยละ 28 เผยว่ามีการจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการ และร้อยละ 15 กล่าวว่ามีการตั้งตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง (C-level) ใหม่เพิ่มขึ้น

         “ปัจจุบันนี้ ธุรกิจโรงกลั่นนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับศักยภาพแท้จริงที่ดิจิทัลสามารถทำได้” อินทิรา เหล่ามีผล กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจพลังงานและทรัพยากร เอคเซนเชอร์ ประเทศไทย กล่าว

         “สิ่งที่ควรทำต่อไปคือ การผสานและใช้งานเทคโนโลยีต่างๆอย่างเต็มที่ เพื่อพัฒนากระบวนการต่าง ๆ ในธุรกิจใหม่ และปรับเปลี่ยนการทำงานในโรงงานทั้งหมด ซึ่งรายงานล่าสุดของเอคเซนเชอร์เรื่อง ดัชนีชี้วัดระดับความเสี่ยงของธุรกิจต่อการถูกเปลี่ยนโฉม (Disrupt ability Index) ได้ชี้ชัดว่า อุตสาหกรรมพลังงานจัดเป็นประเภทธุรกิจที่มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนโฉม (disruption) ในอนาคตมากที่สุด การเพิ่มการลงทุนด้านดิจิทัลอย่างมียุทธวิธี จะช่วยพัฒนาประสิทธิภาพและผลการดำเนินงานและช่วยให้โรงกลั่นผ่านพ้นสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ ซึ่งมีสัญญาณปรากฏให้เห็นแล้วว่า ธุรกิจต่างตระหนักถึงเรื่องนี้ และกำลังดำเนินการเพื่อใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลให้ได้อย่างเต็มที่”

 ภัยคุกคามทางไซเบอร์เพิ่มขึ้น ยิ่งต้องใช้เม็ดเงินลงทุนเพิ่มเพื่อป้องกัน

          การคุกคามทางไซเบอร์ที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลองค์กรต้องยกระดับความสามารถของระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ในการต้านทานและโต้ตอบอยู่ตลอดเวลา โดยเห็นได้ชัดเมื่อร้อยละ 28 ของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่า เล็งเห็นภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าปีที่ผ่านมา ประเด็นที่น่าเป็นกังวลที่สุดคือ ภัยนี้เกิดขึ้นในช่วงที่การดำเนินงานในองค์กรต่างๆเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันมากกว่าในอดีต ซึ่งกลายเป็นเป้าสำหรับภัยคุกคามหลายลักษณะ โดย 1 ใน 3 หรือร้อยละ 33 ของผู้ตอบยอมรับว่า ไม่ทราบจำนวนการโจมตีทางไซเบอร์ว่าเกิดขึ้นจริง ๆ แล้วกี่ครั้ง

         ความจำเป็นเรื่องนี้ยิ่งมีแรงกดดันมากขึ้น เมื่อร้อยละ 38 ของผู้ตอบยอมรับว่า ความปลอดภัยทางข้อมูลเป็นอุปสรรคต่อการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในองค์กร โดยความเสี่ยงที่ผู้ตอบแบบสำรวจเห็นว่ามีส่วนสัมพันธ์กับความปลอดภัยทางไซเบอร์คือ ผลกระทบต่อการดำเนินงาน (ร้อยละ 67) ผลกระทบต่อสุขภาพและความปลอดภัยของคนทำงาน (ร้อยละ 39) และการละเมิดข้อมูล (ร้อยละ 39)

         อย่างไรก็ตาม มีผู้บริหารเพียงร้อยละ 28 ที่ระบุให้เครื่องมือด้านดิจิทัลที่เข้ามาเพิ่มสมรรถนะความปลอดภัยทางไซเบอร์ เป็น 1 ใน 3 เรื่องสำคัญที่สุดในการลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และผู้ตอบก็กังวลว่าการลงทุนด้านดิจิทัลที่ไม่เพียงพอนั้น จะส่งผลต่อความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างไร (ระบุโดยร้อยละ 67 ของผู้ตอบ) กังวลว่าดิจิทัลจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มอัตรากำไรได้อย่างไร (ร้อยละ 64) และกังวลว่าการลงทุนด้านดิจิทัลที่ไม่จริงจัง อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการดำเนินงานอย่างไร (ร้อยละ 58)

          “ยิ่งเทคโนโลยีดิจิทัลทำให้เกิดการเชื่อมโยงกันมากขึ้น มีความเสี่ยงและเป็นเป้าโจมตีได้ง่ายขึ้น ก็ยิ่งจำเป็นต้องลงทุน อย่างน้อยก็ต้องให้ก้าวหน้ากว่าภัยคุกคามทางไซเบอร์ต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้น การจะก้าวไปข้างหน้าได้ก็ต้องเริ่มการลงทุนตั้งแต่วันนี้ เพื่อวางพื้นฐานความสามารถในการรักษาความปลอดภัย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญยิ่งต่อการป้องกับระบบการดำเนินงานต่าง ๆ ในอนาคต” คุณอินทิรากล่าวทิ้งท้าย


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เอง โดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save