โซลาร์ฟาร์ม บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ ประเทศไทย บนพื้นที่ประมาณ14 ไร่ ผลิตกระแสไฟฟ้าที่ 999 kWp
บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ ประเทศไทย ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิวระดับโลกอย่าง นีเวีย และยูเซอริน ตอกย้ำเป้าหมายนำพาธุรกิจสู่ความเป็นผู้นำธุรกิจบิวตี้เพื่อความยั่งยืนตัวจริง กับอีกก้าวสำคัญในการปรับฐานการผลิตใหญ่ในประเทศไทยเป็นครั้งแรกสู่การใช้พลังงานทดแทนจากโซลาร์ฟาร์ม บนพื้นที่กว่า 5,610 ตารางเมตร ประมาณ14 ไร่ ด้วยกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าที่ 999 กิโลวัตต์สูงสุด (kWp) เพื่อเป็นแหล่งพลังงานสีเขียว 100% ควบคู่ไปกับการเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจด้วยแนวทางด้านความยั่งยืนแบบบูรณาการตลอดห่วงโซ่คุณค่า ทั้งผู้บริโภค สิ่งแวดล้อม และสังคม โดยไบเออร์สด๊อรฟตั้งเป้าหมายลดคาร์บอนไดออกไซด์ 30% ภายในปี 2568 และเดินหน้ามุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี พ.ศ. 2573

ไบเออร์สด๊อรฟ ก่อตั้งขึ้นที่ประเทศเยอรมนี โดย พอล ไบเออร์สด๊อรฟ ได้คิดค้นพลาสเตอร์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2425 และ ในปี พ.ศ. 2433 ที่ ดร. ออสการ์ โทรโพลวิตซ์ ได้เข้ามาเป็นผู้สร้างและอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่นิยมจนถึงทุกวันนี้อย่าง NIVEA Cream หรือที่คุ้นเคยกันว่า นีเวียครีมตลับสีฟ้า โดยนีเวียครีมตลับสีฟ้า ได้นำเข้าจำหน่ายที่ประเทศไทยครั้งแรกในปี พ.ศ. 2469 ก่อนที่จะก่อตั้งบริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ ในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2515 และตั้งโรงงานผลิตขึ้นในปี พ.ศ. 2530 นับจากนั้นมาบริษัทฯได้พัฒนาจนกลายเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของไบเออร์สด๊อรฟในทวีปเอเชีย ที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ รวมถึงการดำเนินงานเพื่อรองรับเป้าหมายด้านความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน

วราพร ลิขิตจรรยากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ ประเทศไทย กล่าวว่า ไบเออร์สด๊อรฟมีโรงงานทั้งหมด 14 แห่ง โดยไบเออร์สด๊อรฟ ประเทศไทย ตั้งในนิคมอุตสาหกรรมบางพลี จ.สมุทรปราการติดอันดับ Top 5 ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค และเป็นศูนย์กลางการส่งออกผลิตภัณฑ์มากกว่า 14 ประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่่เป็นประเทศในกลุ่มอาเซียน ปัจจุบันไบเออร์สด๊อรฟ ประเทศไทย มีพนักงานทั้งหมด 740 คน ได้ปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้สอดรับกับกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืน นอกเหนือจากการกำจัดและบำบัดของเสียจากกระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ โดยล่าสุดทางโรงงานได้เปิดใช้โรงผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) เพื่อเป็นแหล่งพลังงานสีเขียว 100% บนพื้นที่กว่า 5,610 ตารางเมตร ประมาณ14 ไร่ หรือ 1 สนามฟุตบอล ด้วยกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าที่ 999 กิโลวัตต์สูงสุด (kWp) รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์สีเขียวที่เลือกใช้พลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือส่วนผสมที่ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์นีเวียที่ปลอดไมโครพลาสติก 100% นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 และผลิตภัณฑ์กันแดดที่ไม่มีสารที่ทำร้ายปะการัง เป็นต้น ถือเป็นสิ่งที่ยืนยันอย่างชัดเจนว่า ไบเออร์สด๊อรฟไม่เพียงแค่จะบรรลุเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานลง 30% ภายในปี พ.ศ. 2568 และมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี พ.ศ. 2573 เท่านั้น แต่ยังพร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายต่อไปกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 90% ภายในปี พ.ศ. 2588
การดำเนินธุรกิจภายใต้แนวทางของความยั่งยืน ในเรื่องของสิ่งแวดล้อม ซึ่งไบเออร์สด๊อรฟให้ความสำคัญและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและจริงจัง ใน 4 เรื่อง คือ 1. อากาศ โดยมีเป้าหมายลดคาร์บอนไดออกไซด์ 30% ภายในปี 2568 2.คิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยลดขยะและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ใช้อลูมิเนียมรีไซเคิลมากกว่า 50% ลดการปล่อยคาร์บอนได้ 30 ตัน/ปี ใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกรีไซเคิล 100% รวมทังปรับเปลี่ยนโรลออนเป็นขวดแก้วทั้งหมด เป็นต้น 3. การเลือกใช้วัตถุดิบจากแหล่งกำเนิดวัตถุดิบและทรัพยากรธรรมชาติที่มีความยั่งยืน เช่นใช้น้ำมันปาล์ม 100% มาตรฐาน RSPO (Roundtable on Sustainable Palm Oil) และกระดาษ 100% มาตรฐาน FSC (Forest Stewardship Council) ที่มาจากแหล่งผลิตที่หมุนเวียนได้ใช้เป็นบรรจุภัณฑ์กล่องและสื่อการตลาด และ 4. แหล่งน้ำ ในปี 2566 พัฒนากระบวนการผลิต ลดการใช้ปริมาณน้ำมากกว่า 80,000 ลบม./ปี รวมทั้งผลกระทบต่อแหล่งน้ำ เช่น ใช้ปลอดไมโครพลาสติก 100% นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 และผลิตภัณฑ์กันแดดที่ไม่มีสารที่ทำร้ายปะการัง เป็นต้น
“ไบเออร์สด๊อรฟให้ความสำคัญเรื่องของการทำธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ตามวัตถุประสงค์การมีอยู่ของแบรนด์ นั่นคือ Care Beyond Skin ที่ให้คุณค่าเหนือกว่าการส่งมอบผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณ ไบเออร์สด๊อร์ฟทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงจุดยืนนี้มาอย่างต่อเนื่องว่าเรามุ่งมั่นและจริงจังในการผลักดันเรื่องความยั่งยืนเข้าในฟันเฟืองต่าง ๆ ตลอดห่วงโซ่คุณค่าของเรา ซึ่งตอนนี้ยิ่งให้ความเข้มข้นขึ้นเพื่อสอดรับกับกลยุทธ์ธุรกิจเพื่อความยั่งยืนล่าสุดของเราอย่าง “Win with Care” ที่จะเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อสิ่งที่ดีกว่าให้กับผู้บริโภค สิ่งแวดล้อม และสังคม ผ่านผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณของเรา ที่ไม่เพียงพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อคุณภาพที่ดีและตอบโจทย์ผู้ใช้ แต่เรายังให้คุณค่ากับทุก ๆ ส่วนที่เกี่ยวข้องตั้งแต่วัตถุดิบ แหล่งที่มา คนมากมายที่อยู่ในกระบวนการผลิตและธุรกิจ และการดำเนินธุรกิจด้วยธรรมาภิบาล และมีความโปร่งใส จะเป็นพลังสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ไบเออร์สด๊อรฟไปถึงเป้าหมายการเป็นธุรกิจบิวตี้เพื่อความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง” วราพร กล่าว

ด้านสุเรขา วันเพ็ญ ผู้อํานวยการศูนย์การผลิต บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ ประเทศไทย กล่าวว่า ไบเออร์สด๊อรฟทั่วโลกทั่วโลกให้ความสำคัญต่อความยั่งยืนแบบ End to End โดยมองทุกจุดที่ปล่อยคาร์บอน แล้วออกแบบผลิตภัณฑ์มีความยั่งยืนมากขึ้นโดยเลือกใช้วัตถุดิบและขั้นตอนการผลิตที่มีความเกี่ยวข้องกับการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ให้น้อยลง เช่น การใช้เส้นทางการจัดส่งที่ใกล้ขึ้นหรือสั้นลง รวมไปถึงการเลือกใช้วัสดุรีไซเคิลแทนพลาสติกใหม่ (Virgin Plastic) ซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนช่วยลดการปล่อยมลพิษทั้งสิ้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้เปิดโซลาร์ฟาร์มขนาดใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับโรงงานของไบเออร์สด๊อรฟทั่วโลก และเป็นแห่งแรกในนิคมอุตสาหกรรมบางพลี จ.สมุทรปราการ ทำให้สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าใช้เองได้มากถึง 25% โดยเป็นพลังงานจากโซลาร์ฟาร์ม 10% และโซลาร์รูฟท๊อปทั้งอาคารเก่าและใหม่ ขนาด 1,434 กิโลวัตต์สูงสุด (kWp) ทำให้สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้มากถึง 800 ตันต่อปี เทียบเท่ากับการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) โดยต้นไม้ถึง 50,000 ต้น นอกจากนี้ ยังมีการรณรงค์ส่งเสริมให้ความรู้แก่พนักงานในโรงงาน รวมถึงปลูกฝังจิตสำนึกในการเป็นธุรกิจเพื่อความยั่งยืนอีกด้วย

นอกจากสิ่งแวดล้อมแล้ว ไบเออร์สด๊อรฟยังให้ความสำคัญในการบริหารจัดการองค์กรโดยให้ความสำคัญและส่งเสริมความเท่าเทียมและยอมรับความแตกต่างในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันนโยบายส่งเสริมพนักงานระดับผู้บริหารแบ่งตามเพศในสัดส่วน 50:50 ที่ทำสำเร็จได้ในปี พ.ศ. 2566 หรือการทำกิจกรรมเพื่อชุมชนท้องถิ่นอย่าง Care Beyond Skin Day ที่พนักงานไบเออร์สด๊อรฟ ทั่วโลก ได้ใช้เวลางานหนึ่งวันเต็มทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์แก่สังคม หรือด้านพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยเฉพาะด้านการศึกษาและการสาธารณสุข อาทิ โครงการปรับปรุงห้องสมุดโรงเรียนที่ยากไร้ในประเทศไทย การบริจาคสิ่งของจำเป็นทางการแพทย์และผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณแก่องค์กรสาธารณกุศล เป็นต้น