กสิกรไทยจัดงาน EARTH JUMP 2025 หนุนทุกภาคส่วนเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวอย่างยั่งยืน


ธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน จัดงาน EARTH JUMP 2025 ระดมผู้เชี่ยวชาญและนักธุรกิจระดับโลกและระดับประเทศ ให้แนวทางกลยุทธ์และความรู้ อัปเดตข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อรับมือความแปรปรวนที่เกิดขึ้น พร้อมอัปเดตเทรนด์และผลกระทบต่อธุรกิจไทย เปิดมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญร่วมเสวนา ภาคธุรกิจถึงทางรอดใหม่ของ SME ในยุค Net Zero รวมถึงโอกาสธุรกิจท่ามกลาง Climate Game นำทัพพา SME เปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวอย่างยั่งยืน

เอกนัฏ พร้อมพันธุ์

เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปาฐกถาพิเศษ นโยบายด้านอุตสาหกรรมเพื่อความยั่งยืน (Opening Session) ตลอดจนทิศทางการขับเคลื่อนประเทศไทยในบริบทของเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) และเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” หรือ Climate Change ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของยุทธศาสตร์รัฐบาล ที่จะต้องพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมในทุกภาคส่วน พร้อมให้ความสำคัญเรื่อง Euro 5 โดยรัฐบาลไทยมุ่งยกระดับมาตรฐานการปล่อยมลพิษในภาคขนส่งอย่างจริงจัง โดย เฉพาะมาตรการควบคุมไอเสียจากเครื่องยนต์สันดาปภายใน ผ่านการบังคับใช้มาตรฐาน Euro 5 ซึ่งกำหนดเกณฑ์การปล่อยสารมลพิษในระดับต่ำกว่าที่เคย ส่งผลโดยตรงต่อการลดปริมาณ PM2.5 และสารพิษในอากาศในเขตเมือง ทั้งนี้ การขับเคลื่อนเทคโนโลยียานยนต์สะอาดยังเป็นกลไกหลักในการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้ก้าวสู่ความเป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าแห่งภูมิภาค (EV Hub) อีกด้วย

ภาคเกษตร – เดินหน้าแก้ไข มาตรการแก้ปัญหาการเผาอ้อย จัดการปัญหามลพิษอย่างจริงจัง เพราะเป็นหนึ่งในต้นตอสำคัญของปัญหา PM2.5 ในพื้นที่ชนบทและปริมณฑล มาจากการเผาเศษวัสดุการเกษตร โดยเฉพาะอ้อย ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพอากาศและสุขภาพของประชาชน กระทรวงอุตสาหกรรมจึงร่วมผลักดันการแก้ไขพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อควบคุมการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม พร้อมเร่งส่งเสริมระบบเก็บเกี่ยวอ้อยสด รวมถึงการนำใบอ้อยมาใช้ประโยชน์เชิงพลังงานหรือวัสดุชีวภาพ ลดการพึ่งพาการเผาทำลาย

ขจัดปัญหา “ศูนย์เหรียญ” – กำหนดมาตรฐานวัสดุเพื่อความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม

ในภาคอุตสาหกรรมได้กล่าวถึงปัญหาการนำเข้าวัสดุและผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีมาตรฐาน หรือที่รู้จักกันในวงกว้างว่า “ศูนย์เหรียญ” ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ส่งผลลบทั้งต่อเศรษฐกิจ ความปลอดภัยของประชาชน และสิ่งแวดล้อม วัสดุที่ไม่ได้มาตรฐานเหล่านี้ ก่อให้เกิดการชำรุดเสียหายทั้งในเชิงโครงสร้างพื้นฐานและผลิตภัณฑ์ปลายทาง อุตสาหกรรมจึงต้องเร่งยกระดับมาตรฐานด้านคุณภาพ ตลอดจนระบบตรวจสอบและบังคับใช้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงเชิงระบบในอนาคต

อุตสาหกรรมต้นแบบใหม่ – จากต้นทุนสู่การลงทุนสร้างมูลค่า

เอกนัฏ กล่าวว่า ภาคอุตสาหกรรมไทยในระยะถัดไปจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านในหลายมิติ โดยเฉพาะการเปลี่ยนมุมมองจากการควบคุม “ต้นทุน” มาสู่การ “ลงทุน” เพื่อยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการ และสร้างสภาพแวดล้อมเชิงเศรษฐกิจใหม่ที่มุ่งเน้นคุณภาพ ความยั่งยืน และมูลค่าเพิ่ม แนวทางดังกล่าวรวมถึงการรื้อระบบการจัดการของเสียในภาคอุตสาหกรรม การส่งเสริมเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) และการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น น้ำตาลเกรดพรีเมียมที่เป็น Green Product ลดการปล่อยคาร์บอนระหว่างกระบวนการผลิตทั้งนี้ แนวทางการสนับสนุนของภาครัฐ เช่น สิทธิประโยชน์จาก BOI ที่มุ่งเน้นคุณภาพและประสิทธิภาพของการลงทุน จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยให้อุตสาหกรรมไทยเติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน ด้วยแนวคิด “เศรษฐกิจสีเขียว” (Green Economy) และ “การผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” (Environmentally Friendly Production) เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างมูลค่าใหม่ที่ยั่งยืน ผ่านผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยต่อสุขภาพผู้บริโภค ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และตอบโจทย์มาตรฐานสากลที่เข้มงวดมากขึ้น นอกจากการลดความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและต้นทุนระยะยาว การลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด วัตถุดิบที่ยั่งยืน และระบบจัดการของเสียที่มีประสิทธิภาพ ยังเป็นการยกระดับ ขีดความสามารถทางการแข่งขัน เพิ่มความน่าเชื่อถือของแบรนด์ และสร้าง “ภาพลักษณ์ขององค์กรที่รับผิดชอบต่อสังคม” ซึ่งมีอิทธิพลโดยตรงต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคยุคใหม่

“ในบริบทการพัฒนาอุตสาหกรรมยุคใหม่ ผู้ประกอบการควรปรับมุมมองใหม่ว่า การดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมไม่ใช่ภาระหรือต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่คือการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนในระยะยาว” ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพ”  เอกนัฏ กล่าว

ภายในงานยังจัดเวทีเสวนา  Net Zero: The Game-Changer for SME Survival Net Zero ทางรอดใหม่ของ SME ที่มาอัปเดทเทรนสำคัญที่มีผลกระทบต่อ SME ไทย พร้อมแนวทางเครื่องมือสนับสนุนจากธุรกิจขนาดใหญ่ ภาครัฐภาคการศึกษา เพื่อให้ SME ปรับตัวเป็นธุรกิจคาร์บอนต่ำได้อย่างยั่งยืน โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิ ร่วมเสวนา ได้แก่  ดร.อภิรดี ขาวเธียร รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) , กลอยตา ณ ถลาง กรรมการสถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย , .ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล ผู้อำนวยการสถาบันคาร์บอนเพื่อความยั่งยืนและรองคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ดร.วิชัย ณรงค์ วณิชย์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย  ดำเนินรายการโดย มนต์ชัย วงษ์กิตติไกรวัลย์ ผู้ประกาศข่าวเศรษฐกิจ TNN ช่อง 16

กลอยตา ณ ถลาง กรรมการสถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า  การกำหนดเป้าหมาย Net Zero แม้จะถือเป็นแนวทางที่จำเป็นสำหรับความยั่งยืนในระยะยาว แต่ในทางปฏิบัติก็ส่งผลกระทบต่อรูปแบบการดำเนินชีวิตของประชาชน รวมถึงการปรับตัวในกระบวนการผลิต การก่อสร้าง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ที่อาจเผชิญแรงกดดันจากกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมและมาตรการทางภาษี เช่น มาตรการปรับคาร์บอน ณ ชายแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism หรือ C BAM) ของสหภาพยุโรป

“หากมองในแง่ของความเสี่ยง อาจเห็นว่าเป็นอุปสรรค แต่หากมองเป็นโอกาส นี่คือช่วงเวลาที่ SME ไทยจะเร่งปรับตัวเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาว” กลอยตา กล่าว

ทั้งนี้ภาคธุรกิจต้องเริ่มต้นจากการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน รู้จักประเมินความเสี่ยงของตนเอง โดยเฉพาะธุรกิจที่พึ่งพาการส่งออกจำเป็นต้องเข้าใจจุดอ่อนไหวต่อมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศปลายทาง พร้อมทั้งวางแผนปรับปรุงกระบวนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง

ที่ผ่านมา การรับรู้เกี่ยวกับกฎหมายและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม เช่น กฎหมาย C-BAM ยังอยู่ในระดับต่ำ โดยในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ แทบไม่มีผู้ประกอบการไทยรับรู้ถึงข้อกฎหมายดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากผลสำรวจในช่วง 4–5 ปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าความตื่นตัวของภาคธุรกิจไทยเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เปรียบเสมือนคลื่นแรงกระเพื่อมที่เริ่มขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ

ปัจจุบัน มีองค์กรและหน่วยงานภาครัฐเข้ามาสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำมากขึ้น โดยเฉพาะบทบาทของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งได้จัดตั้งสถาบันเพื่อดำเนินงานร่วมกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ในการสนับสนุนผู้ประกอบการให้สามารถจัดทำข้อมูลคาร์บอนฟุตพรินต์ และพัฒนาแนวทางการลดการปล่อยคาร์บอนอย่างเป็นระบบ

อย่างไรก็ตาม เป้าหมาย Net Zero ไม่ใช่เรื่องไกลตัว และไม่ใช่เพียงภาระหากแต่เป็นโอกาสที่จะยกระดับศักยภาพของธุรกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน และสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก

ดร.อภิรดี ขาวเธียร รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า ประเด็นสำคัญที่กำลังส่งผลต่อผู้ประกอบการ SME ไทยอย่างชัดเจน นั่นคือ “Net Zero” หรือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เหลือศูนย์ ซึ่งกำลังกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญในการทำธุรกิจบนเวทีโลก

“สสว. เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ส่งเสริมให้ SME ไทยสามารถเติบโต ปรับตัว และแข่งขันได้ในระดับประเทศ และระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแนวทางเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ซึ่งไม่ใช่แค่แนวโน้ม แต่กลายเป็นมาตรฐานใหม่ในยุคปัจจุบันแล้ว

Net Zero ไม่ใช่กระแสชั่วคราว แต่เป็นโจทย์ใหญ่ของ SME ไทย เนื่องจากในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา แนวคิดเรื่อง Net Zero ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างในหมู่ผู้ประกอบการ SME ไทย อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจในปี 2567 โดย สสว. พบว่ามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบ้าง แต่ยังไม่เพียงพอ   25% ของ SME ทราบและเริ่มลงมือทำด้าน Net Zero แล้ว  25.1% เริ่มตระหนักรู้ถึงความสำคัญ แต่ยังไม่ได้ลงมือ ขณะที่ 74.9% ยัง ไม่มีการปรับใช้ใดๆ กับแนวคิดนี้  ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนความจริงว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังไม่ได้ตระหนักถึงความเร่งด่วนของเรื่องนี้ บางรายอาจมองว่าเป็นเพียง “กระแสชั่วคราว” หรือเรื่องไกลตัว แต่ในความเป็นจริง โลกธุรกิจกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

“หากคู่ค้าต่างประเทศของเราเริ่มตั้งเป้าลดคาร์บอน แต่ SME ไทยยังไม่เริ่มขยับ คู่ค้าเหล่านั้นก็อาจหันไปหาคู่ค้าจากประเทศอื่นแทน นี่คือความเสี่ยงที่เราไม่ควรมองข้าม” ดร.อภิรดี กล่าว

นอกจากแรงกดดันจากคู่ค้าแล้ว ผู้บริโภคในหลายประเทศก็เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาสนับสนุนธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การไม่ปรับตัวจึงไม่ใช่แค่พลาดโอกาส แต่คือความเสี่ยงที่จะอยู่รอดได้ยากขึ้นในอนาคต

พร้อมกันนี้ สสว. ยังมีบทบาทสนับสนุน SME เพื่อให้ SME สามารถปรับตัวได้โดยไม่รู้สึกว่าต้องแบกรับภาระเพียงลำพัง จึงได้พัฒนาเครื่องมือที่เรียกว่า BBS (Business Better Solution) ซึ่งเป็นมาตรการที่รวมบริการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไว้ในแพลตฟอร์มเดียว เช่น เป็นที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมและการบริหารจัดการคาร์บอน  สามารถเป็นเครื่องมือตรวจวัดคาร์บอนฟุตพริ้นท์  พร้อมทั้งการส่งเสริมให้เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างจากภาครัฐที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  หรือแม้แต่การเข้าถึงแหล่งทุนผ่าน กองทุน ThaiEI SME เพื่อสนับสนุนธุรกิจที่พร้อมปรับตัวสู่ความยั่งยืน

“แนวทาง Net Zero ไม่ใช่เรื่องไกลตัวหรือเรื่องของ “ธุรกิจใหญ่ๆ” เท่านั้น แต่เป็นทิศทางที่ทุก ธุรกิจต้องเผชิญ การที่ SME ไทยจะยืนหยัดอยู่ในเวทีโลกต่อไปได้ จำเป็นต้องเริ่มต้นด้วยการตระหนักรู้ ลง มือทำ และปรับตัวอย่างจริงจัง ถ้าไม่เริ่มวันนี้ พรุ่งนี้อาจไม่มีที่ยืนในตลาดโลก ดร.อภิรดี กล่าว

.ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล ผู้อำนวยการสถาบันคาร์บอนเพื่อความยั่งยืนและรองคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อม  กำลังกลายเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง และ SME จำเป็นต้องปรับวิธีคิดให้ทันกับกระแสการเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่เช่นนั้นอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลังโดยไม่รู้ตัว

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ต้นทุนด้านการประกันภัยในพื้นที่เสี่ยงภัยธรรมชาติ เช่น ไฟไหม้หรืออุทกภัย ธุรกิจที่ไม่มีระบบวางแผนหรือประเมินความเสี่ยงย่อมต้องจ่ายเบี้ยประกันสูงขึ้น หรืออาจไม่มีบริษัทไหนกล้ารับประกันเลย ยิ่งถ้าเป็น SME ที่ไม่มีเงินสำรองมาก การสูญเสียจากภัยธรรมชาติเพียงครั้งเดียวก็อาจทำให้ธุรกิจถึงทางตัน ขณะที่องค์กรขนาดใหญ่ยังมีเงินทุนและระบบจัดการรองรับเหตุไม่คาดฝันเหล่านี้ได้ดีกว่า

นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งความท้าทายสำคัญที่กำลังจะมาถึง คือกรอบกฎหมายและมาตรการสิ่งแวดล้อมระดับนานาชาติ เช่น “C-BAM” (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรป ซึ่งจะจัดเก็บภาษีคาร์บอนจากสินค้านำเข้าที่ปล่อยคาร์บอนสูง หรือ “พระราชบัญญัติ Climate Change” ที่กำลังอยู่ระหว่างการจัดทำ ซึ่งจะบังคับให้ภาคธุรกิจไทยต้องรายงานและปรับตัวเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นระบบ หากไม่มีการเตรียมตัวหรือการวางแผนล่วงหน้า สินทรัพย์หรือโครงสร้างธุรกิจที่เคยลงทุนไว้ก็อาจกลายเป็น “สินทรัพย์ตกค้าง” ที่ไม่มีมูลค่าอีกต่อไป เพราะไม่สอดคล้องกับเกณฑ์ของตลาดหรือนักลงทุน

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ใช่ภาระที่ SME ต้องเผชิญเพียงลำพัง ภาควิชาการเองก็มีบทบาทในการสนับสนุนอย่างเต็มที่ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดตั้ง “สถาบันคาร์บอนเพื่อความยั่งยืน” ขึ้น เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ นวัตกรรม และระบบสนับสนุนการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นระบบวิเคราะห์คาร์บอน เครื่องมือวางแผนด้านสิ่งแวดล้อม หรือแม้กระทั่งหลักสูตรการศึกษาเฉพาะทาง ซึ่งออกแบบมาเพื่อสร้าง “ผู้นำการเปลี่ยนแปลง” ที่เข้าใจเรื่องทรัพยากร สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะสำหรับภาคธุรกิจ SME

ดร.วิชัย ณรงค์วณิชย์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย   กล่าวว่า โลกของธุรกิจในปัจจุบันต้องเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มาตรการด้านภาษีคาร์บอน ตลอดจนความเสี่ยงจากห่วงโซ่อุปทาน ที่ให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเข้มข้น

เพื่อตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ธนาคารกสิกรไทยจึงเดินหน้าส่งเสริม “สินเชื่อสีเขียวเพื่อความยั่งยืน” (Green Loan) สำหรับลูกค้าที่มีแผนดำเนินธุรกิจสอดคล้องกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะผู้ที่มี Transition Plan ชัดเจน และมีความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจที่ยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม เพราะเรามองว่าผู้นำองค์กรคือผู้กำหนดทิศทางสำคัญ การมีแผนและลงมือเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาว

พร้อมกันนี้ธนาคารกสิกรไทยยังร่วมมือกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย ในการผลักดันกลไกทางการเงินเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะโครงการที่สร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งธนาคารจะพิจารณาเงื่อนไขสินเชื่อที่เอื้อต่อการเปลี่ยนผ่าน เช่น อัตราดอกเบี้ยพิเศษ ระยะเวลาผ่อนชำระที่ยืดหยุ่น เพื่อช่วยให้ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SME เดินหน้าไปได้อย่างมั่นคงในโลกยุคใหม่

“กสิกรไทยพร้อมเดินเคียงข้างลูกค้า สนับสนุนธุรกิจที่มีความตั้งใจจริงในการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ด้วยสินเชื่อเงื่อนไขพิเศษ เพื่อร่วมกันก้าวสู่อนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง” ดร.วิชัย กล่าว