องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประจำประเทศไทย จัดพิธีมอบรางวัล “Eco-Design Sparking Innovation Award” ภายใต้โครงการ “การลดการใช้ การออกแบบที่ยั่งยืน และการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์พลาสติกเพื่อป้องกันขยะในทะเล (MA-RE-DESIGN)” เพื่อส่งเสริมแนวคิดการออกแบบบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบนิเวศของพลาสติกในประเทศไทย งานนี้ถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียนผ่านการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยเน้นหลักการ Eco-Design และ Design for Recycling (D4R) ซึ่งจะช่วยวางรากฐานการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยให้ก้าวสู่ความยั่งยืน พร้อมเชื่อมโยงความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

ลิกกี้-ลี พิทเซน เลขานุการเอกฝ่ายการเมืองและวัฒนธรรม สถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย กล่าวว่า ในเยอรมนี Eco-design ไม่ใช่เพียงทฤษฎี แต่เป็นแนวทางปฏิบัติที่พิจารณาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอนของวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุ กระบวนการผลิต การใช้งาน ไปจนถึงการนำกลับมาใช้ใหม่หรือการจัดการของเสียอย่างเหมาะสม โดยหลักการนี้มีส่วนช่วยลดของเสีย ลดการปล่อยคาร์บอน และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งท่ามกลางความท้าทายระดับโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญหาทรัพยากรขาดแคลน
รัฐบาลเยอรมนียังมีบทบาทในการส่งเสริมแนวคิดดังกล่าวสู่เวทีนานาชาติ ผ่านความร่วมมือกับประเทศพันธมิตร โดยเฉพาะประเทศไทย ผ่านโครงการที่ดำเนินการโดย GIZ ร่วมกับกรมควบคุมมลพิษ (PCP) และภาคีเครือข่ายต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน การจัดการขยะพลาสติก และการออกแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม การมีส่วนร่วมของสถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีในกิจกรรมสำคัญ อย่าง พิธีมอบรางวัล Eco-Design Sparking Innovation Award จึงสะท้อนถึงความตั้งใจของรัฐบาลเยอรมนีในการสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมเปิดเวทีให้กับนักออกแบบรุ่นใหม่และนวัตกรไทยได้นำเสนอแนวคิดสู่ภาคอุตสาหกรรมและตลาดสากล

ผานิต รัตสุข ผู้อำนวยการกองจัดการกากของเสียและสารอันตราย กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า หนึ่งในกลยุทธ์การดำเนินงานตามแผน ซึ่งประเทศไทยโดยกรมควบคุมมลพิษใช้เป็นนโยบายในการขับเคลื่อนในเรื่องการจัดการของเสีย ซึ่งเป็นการดำเนินการตามแนวทางการจัดการขยะพลาสติก 2561-2570 สำหรับเรื่องของพลาสติกก็จะเป็นการดำเนินการภายใต้การปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติกในระยะที่ 2 ปี 2566-2570 ซึ่งเป็นนโยบายหลักในเรื่องของการจัดการของเสีย โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อลดและยุติการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (single-use plastics) ส่งเสริมการใช้ซ้ำ และเพิ่มอัตราการรีไซเคิลในประเทศไทย
อีกหนึ่งภารกิจสำคัญคือการส่งเสริมการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ (Design for Recycling – D4R) โดยได้จัดทำแนวทางสำหรับบรรจุภัณฑ์ 3 ประเภท ได้แก่ ขวด PET (พอลิเอทิลีน เทเรฟทาเลต) สำหรับน้ำดื่ม, บรรจุภัณฑ์ HDPE (พอลิเอทิลีนความหนาแน่นสูง) สำหรับผลิตภัณฑ์ของใช้ในบ้าน และของใช้ส่วนบุคคล และภาชนะพลาสติก PP (โพลีโพพีลิน) ชนิดแข็งสำหรับอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งล้วนเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก แนวทาง D4R ไม่ได้เป็นเพียงเอกสารเชิงนโยบาย แต่ได้ถูกบูรณาการไว้ในการประกวด Eco-Design ครั้งนี้โดยเฉพาะในหมวดบรรจุภัณฑ์ ผู้เข้าแข่งขันได้รับการส่งเสริมให้นำหลักการ D4R ไปประยุกต์ใช้จริง ซึ่งช่วยส่งเสริมความเข้าใจในเชิงปฏิบัติให้กับนักออกแบบรุ่นใหม่ และขยายผลไปยังภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

อัลวาโร ซูริตา ผู้อำนวยการโครงการ MA-RE-DESIGN, ผู้แทน GIZ ประเทศไทย กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่าง GIZ และกรมควบคุมมลพิษ (PCP) ในด้านการจัดการขยะ พลาสติก และการส่งเสริมการผลิตและบริโภคอย่างยั่งยืน ได้เริ่มต้นมานานหลายปี โดยเฉพาะในช่วงปี 2562–2565 ที่ทั้งสองหน่วยงานได้ร่วมกันดำเนินโครงการระดับภูมิภาค “Rethinking Plastics” ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสหภาพยุโรปและรัฐบาลเยอรมนี เพื่อวางรากฐานนโยบายเกี่ยวกับพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว แนวคิด Eco-design และความรับผิดชอบของผู้ผลิต (EPR) ในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นอกจากนี้ GIZ ยังดำเนินโครงการ CAPS ที่ได้รับทุนจากรัฐบาลเยอรมนี โดยมุ่งพัฒนาแนวทาง Design for Recycling และระบบการใช้ซ้ำ (Reuse Systems) ในระดับเมือง เช่น กรุงเทพมหานคร ส่วนรางวัล Eco-Design ที่จัดขึ้นในวันนี้ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ MA-RE-DESIGN ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยกระทรวงสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความมั่นคงของเทศบาลแห่งประเทศเยอรมนี (BMU-KM) เพื่อส่งเสริมการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน
ทั้งนี้ ยังมีการผลักดันระบบ EPR สำหรับบรรจุภัณฑ์ โดยทำงานร่วมกับ WWF ประเทศไทย และ WWF เยอรมนี ในพื้นที่นำร่องสองแห่ง คือ เกาะเต่าและจังหวัดตรัง โดยไม่เพียงเน้นกิจกรรมเก็บขยะชายหาด แต่ยังรวมถึงการพัฒนาระบบจัดการพลาสติกเชิงระบบในแหล่งท่องเที่ยวด้วย นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือกับเครือข่าย COPSI ภายใต้โครงการของ UNEP ซึ่งเป็นความร่วมมือระดับภูมิภาคของ 9 ประเทศในเอเชีย เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านนโยบายและการปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อม
ตัวอย่างเช่น ระบบ “Green Dot” ในเยอรมนี ซึ่งให้ผู้ผลิตที่นำบรรจุภัณฑ์ออกสู่ตลาดรับผิดชอบต่อการจัดเก็บและการจัดการขยะทั้งหมดแทนภาครัฐ ถือเป็นต้นแบบของการนำหลักการ EPR ไปใช้จริง ช่วยลดภาระของเทศบาลและผู้เสียภาษี เป้าหมายของความร่วมมือทั้งหมดนี้ คือ การสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวโน้มและมาตรฐานความยั่งยืนระดับโลก เช่น ข้อกำหนดด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์อย่างยั่งยืนของสหภาพยุโรป (ESPR และ EWR) ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ในอนาคตอันใกล้

สุนทร ยงค์วิบูลศิริ ที่ปรึกษาและผู้ประสานงานกลุ่ม Eco-design จากสถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม (TIPMSE) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท) กล่าวว่า TIPMSE กำลังทำงานอย่างใกล้ชิดกับภาคีภายในประเทศและเครือข่ายระดับสากล เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมไทยในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน โดยสถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม (TIPMSE) นอกจากการพัฒนากลไก EPR สำหรับบรรจุภัณฑ์ เรากำลังขยายแนวทาง D4R ซึ่งจะช่วยสนับสนุน EPR ให้เกิดประสิทธิภาพไปยังบรรจุภัณฑ์ประเภทอื่น ๆ มากขึ้น พร้อมผลักดันให้เกิดไกด์ไลน์และพัฒนาสู่มาตรฐานในอนาคต โดยที่สามารถนำไปใช้ได้จริง มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ และสามารถส่งออกได้อย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ เรายังจัดกิจกรรมรับฟังความคิดเห็นในการร่างไกด์ไลน์ Eco-Design สำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่และ SME เพื่อสนับสนุนการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ทั้งสามารถรีไซเคิลได้ และตอบโจทย์ตลาดโลก พร้อมทั้งสร้างเวทีความร่วมมือระหว่างผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ ผู้แปรรูปวัสดุ เจ้าของแบรนด์ ผู้จัดการของเสีย และภาคการรีไซเคิล เพื่อขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพ
“บรรจุภัณฑ์ไม่ใช่ศัตรู พลาสติกไม่ใช่ผู้ร้าย เราอยากให้มันกลับมาใช้อย่างคุ้มค่าหรือใช้ซ้ำ เพื่อลดการเกิดขยะ แต่ยังมีบรรจุภัณฑ์บางส่วนที่หลุดรอดออกสู่สิ่งแวดล้อม ซึ่งการจะทำให้บรรจุภัณฑ์หมุนเวียนกลับมาใช้อย่างคุ้มค่าจำเป็นต้องอาศัยความรู้และความเข้าใจของผู้บริโภคตั้งแต่ต้นทาง โดยเฉพาะเรื่องการคัดแยกและการเก็บรวบรวมที่เหมาะสม ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการขับเคลื่อนร่วมกันจากทุกภาคส่วนในสังคม” สุนทร กล่าว