บริษัท สหฟาร์ม จำกัด ผู้นำการผลิตและส่งออกไก่ครบวงจรอันดับหนึ่งของประเทศไทย ตอกย้ำวิสัยทัศน์องค์กรในการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด “การเติบโตที่ยั่งยืนควบคู่สิ่งแวดล้อมและชุมชน” ด้วยการเดินหน้าโครงการ “GO Green” อย่างเป็นรูปธรรม โดยจับมือกับ บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP ซึ่งเชี่ยวชาญด้านโซลูชันพลังงานครบวงจร ร่วมติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์จำนวน 14 โครงการทั่วเครือข่ายโรงงานและฟาร์มของสหฟาร์ม

ดร. จารุวรรณ โชติเทวัญ ประธานสายการตลาดต่างประเทศ ประธานสายบัญชีและการเงิน และเลขานุการคณะกรรมการบริหาร บริษัท สหฟาร์ม จำกัด กล่าวว่า การดำเนินโครงการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์นี้ ไม่ได้เป็นเพียงการลดต้นทุนพลังงานขององค์กร แต่เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนสหฟาร์มสู่อนาคตที่ยั่งยืน สอดคล้องกับมิติของเศรษฐกิจสีเขียว ความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม โดยองค์กรไม่ได้มุ่งเพียงแค่ผลกำไรในระยะสั้น แต่ต้องการสร้างคุณค่าที่มั่นคงให้กับโลกใบนี้ในระยะยาว
สำหรับโครงการในเฟสแรก ดำเนินการแล้วเสร็จแล้ว 9 โครงการ จากทั้งหมด 14 โครงการ คิดเป็นกำลังการผลิตติดตั้งรวม 46,473.59 กิโลวัตต์พีก (kWp) โดยมีการติดตั้งแผงโซลาร์มากกว่า 67,000 แผง คาดว่าสามารถผลิตไฟฟ้าได้กว่า 46.8 ล้านหน่วยต่อปี ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 35,000 ตันต่อปี หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ถึง 1.9 ล้านต้น ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการในเฟส 2 ซึ่งมีขนาด 6 เมกะวัตต์ และมีแผนจะขยายเฟส 3 ต่อเนื่อง เพื่อให้ครอบคลุมทุกหน่วยธุรกิจของสหฟาร์มในอนาคต ซึ่งหากดำเนินการเสร็จสิ้นทั้งหมดคาดว่าจะสามารถลดคาร์บอนฟรุตพริ้นต์ได้ 40,000 ตันต่อปี
ในด้านผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ถือเป็นก้าวสำคัญของสหฟาร์มในการบริหารต้นทุนอย่างยั่งยืน ปัจจุบันบริษัทมีภาระค่าไฟฟ้าสูงถึงเดือนละประมาณ 260 ล้านบาท จากกระบวนการผลิตในระดับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ การใช้พลังงานแสงอาทิตย์จึงสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายดังกล่าวลงได้ถึง 30% หรือประหยัดได้มากกว่า 100 ล้านบาทต่อปี โดยไม่กระทบต่อกำลังการผลิต ถือเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งในตลาดในประเทศและต่างประเทศ ขณะเดียวกันยังช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาพลังงานในระยะยาว ซึ่งเป็นปัจจัยต้นทุนหลักในธุรกิจอุตสาหกรรมอาหาร
หากโครงการติดตั้งโซลาร์เซลล์ดำเนินการครบทุกเฟส คาดว่าจะสามารถลดต้นทุนรวมได้ถึง 1,600 ล้านบาทภายในระยะเวลา 14 ปี ซึ่งเม็ดเงินส่วนนี้สามารถนำกลับไปลงทุนในนวัตกรรมอื่น ๆ หรือขยายการผลิตในแนวทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ถือเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและตอบโจทย์การเติบโตระยะยาวในยุคเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

นอกเหนือจากโซลาร์เซลล์ สหฟาร์มยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาพลังงานทดแทนอย่างหลากหลาย โดยอยู่ระหว่างการศึกษาการนำพลังงานชีวมวล (Biomass) เช่น เศษพืช เศษไม้ หรือของเสียจากการเกษตร มาทดแทนการใช้เชื้อเพลิงถ่านหินในระบบหม้อไอน้ำ (Hot Oil Boiler) ของโรงงานแปรรูป ซึ่งหากสามารถปรับเปลี่ยนได้จริงจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิตอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมทั้งลดการพึ่งพาพลังงานจากแหล่งฟอสซิลที่มีผลกระทบสูงต่อสิ่งแวดล้อม
อีกหนึ่งนวัตกรรมที่สหฟาร์มให้ความสนใจ คือการเปลี่ยนผ่านระบบขนส่งขององค์กรสู่การใช้พลังงานสะอาด โดยเริ่มโครงการนำร่องทดลองใช้รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า (EV) แทนรถดีเซลในบางเส้นทาง หากผลการทดลองเป็นไปตามเป้าหมาย บริษัทมีแผนจะทยอยเปลี่ยนรถในระบบโลจิสติกส์กว่า 50 คันให้เป็น EV ภายในปี 2569 ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยมลพิษทางอากาศและเสียงในพื้นที่ชุมชนรอบโรงงาน ลดต้นทุนเชื้อเพลิงในระยะยาว และสอดคล้องกับนโยบายสนับสนุน EV ของประเทศในภาพรวม
ในมิติของสังคมและสิ่งแวดล้อม โครงการ “GO Green” ยังถูกออกแบบให้ครอบคลุมการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและชุมชนอย่างครบวงจร โดยสหฟาร์มได้ลงทุนวางระบบบำบัดน้ำเสียแบบทันสมัยบนพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ เพื่อให้น้ำที่ผ่านกระบวนการผลิตและเลี้ยงสัตว์ สามารถปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ำในชุมชนหรือระบบนิเวศโดยรอบ ระบบดังกล่าวใช้เทคโนโลยีแบบหลายชั้นที่ผ่านการคัดกรอง ตกตะกอน และฆ่าเชื้ออย่างเข้มงวด เพื่อให้แน่ใจว่าน้ำที่ปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติมีคุณภาพตามมาตรฐาน
ในขณะเดียวกัน บริษัทได้ดำเนินการปลูกต้นไม้เป็นแนวกันชนรอบโรงงานและฟาร์มต่าง ๆ มากกว่า 1 ล้านต้น เพื่อสร้างพื้นที่สีเขียว ลดผลกระทบจากเสียง ฝุ่น ความร้อน และกลิ่น พร้อมช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และเพิ่มออกซิเจนในชุมชนรอบข้าง
“โครงการ GO Green” ถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนสหฟาร์มสู่อนาคตที่ยั่งยืน ไม่ใช่เพียงแค่โครงการด้านพลังงาน แต่คือแนวคิดหลักในการพัฒนาองค์กรอย่างรอบด้าน โดยมุ่งหวังให้สหฟาร์มเป็นองค์กรต้นแบบที่สร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจ การดูแลสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาสังคมไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน ดังนั้นทุกการดำเนินงานของสหฟาร์มจึงถูกออกแบบให้คำนึงถึงคุณค่าที่ส่งมอบกลับสู่สังคม และสร้างผลลัพธ์ที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ” ดร. จารุวรรณ กล่าว