ไทยผนึกกำลังทุกภาคส่วน เดินหน้า ‘โรดแมพขยะอาหาร’ นำร่องลดขยะอาหาร 25% ภายในปี 2570


ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาขยะอาหารที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี โดยมีปริมาณสูงถึงกว่า 10 ล้านตันต่อปี หรือเฉลี่ย 154 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ไม่เพียงสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจมหาศาล แต่ยังก่อให้เกิดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ตั้งแต่แหล่งน้ำเน่าเสีย กลิ่นรบกวน ไปจนถึงโรคระบบทางเดินหายใจและโรคผิวหนัง

เพื่อรับมือกับปัญหานี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) และสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) จัดสัมมนาเผยแพร่ผลงานและแนวปฏิบัติที่ดี ภายใต้โครงการ “Stop Food Waste Start the Future” มุ่งเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ลดการสูญเสียอาหารตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง พร้อมสร้างต้นแบบการจัดการที่สามารถขยายผลได้จริงในระดับประเทศ

ประเสริฐ ศิรินภาพร

ประเสริฐ ศิรินภาพร รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า การเกิดของขยะอาหารไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่ปลายทาง แต่เริ่มตั้งแต่ต้นทางของห่วงโซ่อาหาร ขยะอาหารจึงเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทยที่นำไปสู่การสูญเสีย และเมื่อเกิดการสูญเสียก็กลายเป็นขยะอาหารที่ถูกทิ้งจากกระบวนการจัดจำหน่าย ปัญหานี้ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ประชาชนยังไม่ตระหนักถึงการลดขยะอาหาร ภาครัฐจึงต้องร่วมมือกัน โดยไทยตั้งเป้าลดการสูญเสียอาหารจากกระบวนการผลิตและการเก็บเกี่ยวให้ได้ครึ่งหนึ่งภายในปี 2573 ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG 12.5)

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงมอบหมายให้กรมควบคุมมลพิษสำรวจและจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะอาหารระยะที่ 1 (พ.ศ. 2566–2570) เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานตามเป้าหมาย SDG12 พร้อมจับมือกับพันธมิตร 15 องค์กร ลงนาม MOU ภายใต้แนวคิด “Stop Food Waste Start the Future” มุ่งส่งเสริมการป้องกันและการลดขยะอาหาร โดยเริ่มจากศูนย์อาหารเป็นต้นแบบของความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูล และสร้างแนวทางสู่การขยายผลในวงกว้าง เพื่อให้การใช้ทรัพยากรเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และนำพาประเทศไทยสู่สังคมที่ยั่งยืนต่อไป

ธนัญชัย วรรณสุข

ธนัญชัย วรรณสุข รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า ปริมาณขยะของประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลปี 2568 พบว่ามีขยะมากถึง 27 ล้านตัน แม้จะมีการจัดการอย่างถูกต้องร้อยละ 77 แต่ขยะอาหารยังคงมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 36.79 หรือคิดเป็นกว่า 10 ล้านตันต่อปี ทั้งนี้ ขยะอาหารไม่ได้เกิดขึ้นเพียงปลายทาง แต่รวมถึงการสูญเสียอาหาร (Food Loss) ในกระบวนการผลิตและขนส่งที่มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 53.3 ทำให้ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งดำเนินการตามโรดแมพการจัดการขยะอาหาร ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2566–2570) เพื่อวางรากฐานไปสู่เป้าหมายการลดขยะอาหารลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2573

โดยเฟสแรก (พ.ศ. 2566–2570) จะมุ่งเน้นการพัฒนารูปแบบการลดขยะอาหาร การสร้างนวัตกรรม รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคและผู้จำหน่ายอาหารตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ไปจนถึงปลายทาง โดยเน้นให้ง่ายต่อการปฏิบัติ โดยเฉพาะในเขตเมือง พร้อมทั้งมีมาตรการจูงใจ เช่น การเก็บค่ารวบรวมขยะครัวเรือน 30 บาทต่อเดือน และค่ากำจัดปลายทางอีก 20 บาท รวมเป็น 50 บาท แต่หากมีการคัดแยกขยะจะได้รับส่วนลดเหลือ 40 บาท นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการสร้างต้นแบบการจัดการขยะอาหารในศูนย์อาหาร และขยายผลไปยังโรงเรียน บริษัท ตลาดสด รวมถึงการทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายสำคัญของเราคือการลดขยะอาหารให้ได้ 25% ภายในปี 2570 ก่อนต่อยอดสู่การจัดการเชิงระบบอย่างครบวงจรในระยะต่อไป

นักวิจัย

นอกจากนี้ แผนการจัดการขยะอาหารยังมุ่งเน้นการสร้างต้นแบบในศูนย์อาหารและขยายผลไปยังสถานศึกษา บริษัท ตลาดสด รวมถึงความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ หนึ่งในตัวอย่างสำคัญคือโรงเรียนวัดโพธิ์บ้านอ้อย (ทองดีวิทยานุสรณ์) ตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ซึ่งนับเป็นต้นแบบการลดขยะอาหารอย่างเป็นรูปธรรม โดย สุจีรา บุญเรืองรอง ผู้อำนวยการโรงเรียน เปิดเผยว่า โรงเรียนเริ่มต้นจากการจัดโครงการธนาคารขยะ ควบคู่กับการนำแนวทางการจัดการขยะอาหารมาใช้ในศูนย์อาหาร พร้อมจัดกิจกรรมสอนนักเรียนคัดแยกขยะทุกวันพฤหัสบดี โดยมีการกำหนดนโยบายจากผู้บริหารลงสู่ระดับปฏิบัติการ จนทำให้นักเรียนเกิดความตระหนักและก้าวขึ้นมาเป็นแกนนำในการคัดแยกขยะของชุมชน

ในส่วนของโรงอาหาร โรงเรียนได้เผชิญปัญหาเศษอาหารเหลือจำนวนมาก จึงปรับวิธีการให้แม่ครัวตักอาหารในปริมาณที่เหมาะสม และหากนักเรียนยังไม่อิ่มสามารถมาตักเพิ่มได้ ส่งผลให้ปัจจุบันแม้จะมีนักเรียนใช้บริการศูนย์อาหารกว่า 500 คนต่อวัน แต่ปริมาณเศษอาหารที่เหลือเฉลี่ยลดลงเหลือเพียง 30 กิโลกรัมต่อวัน และมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง นอกจากนี้ โรงเรียนยังได้กำหนดนโยบาย “3D โมเดล” คือ กินข้าวหมดจาน ดื่มน้ำหมดแก้ว และทำเป็นตัวอย่างจากผู้บริหารสู่เด็กนักเรียน จนกลายเป็นวินัยที่ปลูกฝังให้เด็กกินพอดี ไม่เหลือทิ้งเศษอาหารที่ยังคงเหลือถูกนำเข้าสู่ระบบจัดการอย่างเป็นขั้นตอน ทั้งการนำไปใส่ถังหมักเพื่อทำปุ๋ยอินทรีย์ภายใน 5 วัน การย่อยด้วยเครื่องเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตลอดจนการนำไปใช้เลี้ยงปลาในบ่อ ทำให้โรงเรียนสามารถจัดการขยะอาหารได้อย่างครบวงจร ลดปัญหาขยะและกลิ่นเหม็น พร้อมทั้งเปลี่ยนของเสียให้กลับมาสร้างประโยชน์แก่สิ่งแวดล้อมและชุมชนได้อย่างยั่งยืน