หากกล่าวถึง เครื่องปรุงรสและผลิตภัณฑ์อาหารชั้นนำ ในประเทศไทย ชื่อของ “อายิโนะโมะโต๊ะ” ย่อมเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่หลายคนนึกถึงและคุ้นหู ด้วยความเป็นผู้นำด้านรสชาติที่ช่วยปรุงความอร่อยให้กับคนไทยมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็น ผงปรุงรส ที่กลายเป็นผลิตภัณฑ์คู่ครัวไทยที่ทุกบ้านต้องมี หรือ กาแฟเบอร์ดี้ กาแฟกระป๋องยอดนิยมที่ครองใจผู้บริโภคมาอย่างยาวนาน
สำหรับการผลิต ผงปรุงรส “รสดี” ผลิตภัณฑ์เติมความหอมและความอร่อยให้กับทุกเมนูอาหาร เริ่มจากการคัดสรรเนื้อหมูสดคุณภาพสูง บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ดำเนินการเองในทุกขั้นตอน จากนั้นเนื้อหมูส่วนสะโพกจะถูกนำเข้าสู่กระบวนการอบแห้งและบดละเอียด ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการปรุงรสให้ได้รสชาติที่กลมกล่อม จากนั้นนำไปสกัดและควบคุมปริมาณไขมันให้เหมาะสม และนำไปผสมกับวัตถุดิบอื่นๆ ภายใต้การควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด ก่อนบรรจุเป็นผลิตภัณฑ์ผงปรุงรสที่พร้อมใช้งาน
ในส่วนของกระบวนการผลิตกาแฟกระป๋อง “เบอร์ดี้” เริ่มต้นจากการใช้ เมล็ดกาแฟคุณภาพสูง โดย 70% ของเมล็ดกาแฟนำเข้าจากต่างประเทศ เช่น ประเทศเวียดนาม เพื่อให้ได้รสชาติที่เข้มข้นและเป็นเอกลักษณ์ เมล็ดกาแฟจะถูก คั่วจนได้กลิ่นหอมที่ลงตัว จากนั้นนำไปบดเป็นผงหยาบ ก่อนเข้าสู่กระบวนการสกัดผ่าน 8 คอลัมน์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยดึงรสชาติของกาแฟออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อสกัดเสร็จแล้ว กาแฟจะถูกนำเข้าสู่กระบวนการบรรจุด้วย เครื่องจักรความเร็วสูง โดยสามารถบรรจุได้ 20 กระป๋องต่อวินาที หรือ 72,000 กระป๋องต่อชั่วโมง ต่อ 1 เครื่องบรรจุ ทำให้มั่นใจได้ว่ากาแฟกระป๋อง “เบอร์ดี้” ที่ออกสู่ตลาดนั้นมีคุณภาพและมาตรฐานสูงในทุกกระป๋อง
อายิโนะโมะโต๊ะไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การตอบโจทย์ด้านรสชาติเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับแนวทางความยั่งยืน ซึ่งเป็นแนวโน้มสำคัญของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในปัจจุบัน บริษัทฯ จึงกำหนด แผนพัฒนาความยั่งยืน และเดินหน้าสู่ แผนงานด้านความยั่งยืนประจำปี 2568 ด้วยหลักการ “วัฏจักรอาหารยั่งยืน” ที่มุ่งสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืนใน 4 มิติ ครอบคลุมตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบอย่างรับผิดชอบ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การลดขยะพลาสติก และการลดขยะอาหาร
บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด จึงเร่งเดินหน้าลดคาร์บอนและพัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งยกระดับโครงการ “Thai Farmer Better Life Partner” เพื่อสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่กาแฟ ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ผลิตต้นน้ำ และเสริมสร้างความ “กินดี มีสุข” ให้กับทั้งสังคมและเกษตรกรไทย สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของอายิโนะโมะโต๊ะในการเป็นมากกว่าผู้นำด้านรสชาติ แต่ยังเป็นองค์กรที่เติบโตควบคู่ไปกับสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างแท้จริง
สมิชฌน์ เพ็ชร์ดี ผู้จัดการฝ่ายส่งเสริมความยั่งยืน บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าการสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจอาหาร เป็นหัวใจสำคัญของอายิโนะโมะโต๊ะ โดยบริษัทฯ มีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจให้เติบโต ผ่านการใช้องค์ความรู้ด้าน “AminoScience” ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญหลักของบริษัทฯ มาสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านอาหาร ที่โดดเด่นด้วยรสชาติอร่อย มีโภชนาการที่ดี ควบคู่ไปกับการดำเนินการที่ลดผลกระทบ พร้อมช่วยฟื้นฟูดูแลสิ่งแวดล้อม โดยเป้าหมายหลักของอายิโนะโมะโต๊ะในปี 2568 จะโฟกัสไปที่ “วัฏจักรอาหารยั่งยืน” ที่มุ่งเน้นไปที่ 4 มิติหลัก ได้แก่ 1) จัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน 2) ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 3) การลดพลาสติก 4) การลดขยะอาหาร ควบคู่ไปกับการศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาช่วยผลักดันให้เกิดความความยั่งยืนมากยิ่งขึ้นในอนาคตต่อไป
ทั้งนี้ วัฏจักรอาหารยั่งยืนประกอบด้วย 4 มิติหลัก ได้แก่ การจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างระบบการจัดซื้อวัตถุดิบแบบหมุนเวียนและยั่งยืน บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายบรรลุผลสำเร็จให้ได้ 75% ภายในปี 2568 โดยเน้นการติดตามและตรวจสอบย้อนกลับ รวมถึงการจัดหาวัตถุดิบที่ไม่รุกล้ำระบบนิเวศหรือรบกวนสิ่งแวดล้อม สำหรับเมล็ดกาแฟ บริษัทฯ รับซื้อจากไร่ที่มีคุณภาพตาม “หลักปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP)” ของกรมส่งเสริมการเกษตร
สมิชฌน์ กล่าวว่า ในส่วนของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก บริษัทฯ ดำเนินงานตามแนวทาง Ajinomoto Bio-cycle ซึ่งเป็นกลไกความร่วมมือกับภูมิภาคท้องถิ่นในการจัดการการผลิตและการเกษตรอย่างยั่งยืน ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ปัจจุบันโรงงานการผลิตทั้งหมด 7 แห่งเป็นโรงงานสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยนำหลัก 3Rs (Reduce, Reuse, Recycle) มาใช้ในการจัดการภายในโรงงาน ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายตรวจสอบ carbon footprint ทั้งหมด พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรคู่ค้าเพื่อลดคาร์บอนอย่างต่อเนื่อง
การลดพลาสติก บริษัทฯ มุ่งเน้นการลดพลาสติกในบรรจุภัณฑ์โดยลดการใช้พลาสติกใหม่และเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการรีไซเคิลอย่างเป็นรูปธรรม และการลดขยะอาหาร ปัจจุบัน 6 โรงงานของอายิโนะโมะโต๊ะสามารถลดขยะอาหารได้ 100%
ส่วนโรงงานเบอร์ดี้ลดขยะอาหารได้สำเร็จ 82% ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าจากปีก่อนหน้า บริษัทฯ ยังร่วมมือกับชุมชนรอบโรงงานในการลดขยะอาหาร โดยนำวัตถุดิบที่เหลือจากการผลิต “รสดี” และ “เบอร์ดี้” ไปใช้เป็นอาหารสัตว์หรือปุ๋ยแจกจ่ายให้ชุมชน นอกจากนี้ ยังมีโครงการ “Too Good To Waste กินหมดลดโลกร้อน” เพื่อรณรงค์ให้ผู้บริโภคร่วมลดขยะอาหารผ่าน “สูตรอาหารรักษ์โลก” ซึ่งในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้จัดแคมเปญเมนู “Too Good To Waste” ร่วมกับร้านอาหารชื่อดัง เช่น ร้านเป็นลาว และร้านจิรกาล เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคหันมาลดขยะอาหารไปพร้อมกัน
“ในปีงบประมาณ 2568 อายิโนะโมะโต๊ะมุ่งมั่นดำเนินงานด้านความยั่งยืนในหลายมิติ โดยตั้งเป้าหมายสำคัญ ได้แก่การลดการปล่อยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนใน Scope1&2 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope3 ลง 10% รวมถึงยังให้ความสำคัญกับการลดขยะพลาสติกลง 8% และเพิ่มการใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ 68% ในด้านการลดปริมาณการสูญเสียอาหาร เราตั้งเป้าลดขยะอาหารลง 82% ควบคู่ไปกับการดูแลรักษาแหล่งน้ำ โดยมุ่งสู่เป้าหมายความสำเร็จที่ 92% สำหรับการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืนอายิโนะโมะโต๊ะให้ความสำคัญกับแหล่งที่มาของวัตถุดิบ โดยกำหนดให้เมล็ดกาแฟ 10% มาจากแหล่งผลิตที่ผ่านมาตรฐาน GAP และเนื้อหมู 100% ต้องมาจากแหล่งผลิตที่คำนึงถึง Animal Welfare รวมถึงแผนที่จะศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาช่วยผลักดันให้เกิดความความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างวัฏจักรอาหารยั่งยืนในอนาคตต่อไป” สมิชฌน์ กล่าว
ด้านนพดล จิตรมั่น ผู้จัดการหน่วยงานผลิตและพัฒนา บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ เอฟ ดี กรีน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เราเป็นบริษัทต้นแบบทางธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อม ที่มีการดำเนินงานหลัก 2 ส่วนด้วยกัน คือการเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์การเกษตร โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ผลพลอยได้ที่ได้จากกระบวนการผลิตมาพัฒนาเป็นปุ๋ยชีวภาพทางการเกษตร ผลิตภัณฑ์สำหรับพืช และอาหารสำหรับสัตว์ โดยปีที่ผ่านมา สามารถสร้างการเติบโตของยอดขายได้ถึง 30% และการสานต่อโครงการ “Thai Farmer Better Life Partner” เป็นปีที่ 5 เพื่อยกระดับผลผลิตและความรู้แก่เกษตรกรไทย ปัจจุบันมีพี่น้องเกษตรกรเข้าร่วมทั้งหมด 1,300 ครัวเรือน โครงการนี้ช่วยให้ผลผลิตมันสำปะหลังเพิ่มขึ้น 30% โดยเป้าหมายในปี 2573 บริษัทฯ มุ่งดำเนินธุรกิจแบบ Net Zero พร้อมขยายวัตถุดิบทางการเกษตรที่ตรวจสอบกลับได้เพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่ขั้นตอนเพาะปลูกไปจนถึงหลังเสร็จสิ้นกระบวนการผลิต เพื่อให้สามารถดำเนินการลด CO2 scope 3 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับแผนการดำเนินงาน 5 กิจกรรมหลักคือ 1) AFDG one-stop service ครบวงจรทั้งแบบออนไซต์และออนไลน์ด้วยการสร้างเครือข่ายเพื่อการเกษตรกับพาร์ตเนอร์ เช่น คูโบต้าในเรื่องการเตรียมดิน เก็บเกี่ยว และสตาร์ทอัปการเกษตร ListenField พัฒนาแอปพลิเคชันการเกษตรที่มีการพยากรณ์อากาศ การเจริญเติบโต การเก็บเกี่ยว และการตรวจสอบกลับได้ 2) นำระบบ AI มาสร้าง supply chain เพื่อช่วยในการจับคู่โรงงานแป้งและเกษตรกร 3) ร่วมมือกับโรงแป้ง ในการรับมันสำปะหลังของโครงการ “Thai Farmer Better Life Partner” 4) พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น ปุ๋ยชีวภาพ/สารกระตุ้นชีวภาพเพื่อเสริมการเจริญเติบโตของพืช และการจัดการน้ำ 5) Farm School สานต่อโครงการร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตร มุ่งเน้นการให้ความรู้และเทคนิคการเพาะปลูกที่ทันสมัยแก่เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังและกาแฟเพื่อพัฒนาศักยภาพเกษตรกรไทย
ในฐานะที่อายิโนะโมะโต๊ะ เป็นผู้ผลิตกาแฟ “เบอร์ดี้” ที่เป็นกาแฟกระป๋องพร้อมดื่มเจ้าตลาดในประเทศไทย บริษัทฯ จึงพร้อมสนับสนุนการเติบโตของเกษตรกรไทยอย่างครบวงจร เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพตาม “หลักปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP)” กับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดีตรงตามมาตรฐานที่กำหนด ควบคู่ไปกับการไม่ทำให้เกิดมลพิษ และเกิดความยั่งยืนทางการเกษตรในระยะยาว
“บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ เอฟดี กรีน (ประเทศไทย) จำกัด มุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่า Roadmap สู่ความยั่งยืนนี้จะช่วยสร้างความเติบโตให้กับธุรกิจด้านการเกษตรของไทย พร้อมช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีของพี่น้องเกษตรกรไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน สู่อนาคตที่สดใสไปด้วยกัน” นพดล กล่าวทิ้งท้าย