บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าชั้นนำในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครอบคลุมประเทศไทย สปป.ลาว จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา ด้วยสมดุลของพอร์ตธุรกิจจากทั้งพลังงานเชื้อเพลิงทั่วไป (Thermal Power Business) และพลังงานหมุนเวียน (Renewable Power Business) แถลงผลการดำเนินงานประจำปี พ.ศ.2564 มีรายได้ 6,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับปี พ.ศ.2563 ที่มีรายได้ 5,505 ล้านบาท โดยมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 3,487 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 3,127 ล้านบาท ปีที่ผ่านมา BPP สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าเดินหน้าลงทุนสร้างความแข็งแกร่งด้านพลังงานในปี พ.ศ.2565 ด้วยงบประมาณ 700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แบ่งเป็นการลงทุนในโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ที่ใช้พลังงานความร้อนร่วม (Termal) 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ การลงทุนในธุรกิจการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable) 400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
กิรณ ลิมปพยอม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ประจำปี พ.ศ.2564 มีรายได้ 6,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับปี พ.ศ.2563 ที่มีรายได้ 5,505 ล้านบาท โดยมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 3,487 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 3,127 ล้านบาท ทั้งนี้ในปี พ.ศ.2563 ที่ผ่านมาบริษัทฯ สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และรักษาเสถียรภาพในการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้าเอชพีซี (HPC) ใน สปป.ลาว มีค่าความพร้อมจ่าย (Equivalent Availability Factor: EAF) สูงถึง 85% และโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP) ในไทย มีค่าความพร้อมจ่าย (Equivalent Availability Factor: EAF) สูงถึง 91%
ขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม (Combined Heat and Power: CHP) ทั้ง 3 แห่งในจีน สามารถสร้างรายได้จากปริมาณการขายไอน้ำที่เพิ่มขึ้น รองรับความต้องการของลูกค้าภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังรับรู้ผลกำไรจากโรงไฟฟ้านาโกโซ (Nakoso IGCC) ในญี่ปุ่น และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I ในสหรัฐอเมริกา พร้อมเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเมกะวัตต์คุณภาพ (Quality Megawatt) สู่เป้าหมาย 5,300 เมกะวัตต์ภายในปี พ.ศ. 2568
กิรณ กล่าวว่า บริษัทฯ มีแผนลงทุนในปี พ.ศ.2565 ด้วยงบการลงทุนประมาณ 700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แบ่งเป็นการลงทุนในโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ที่ใช้พลังงานความร้อนร่วม (Thermal) ประมาณ 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯและการลงทุนในธุรกิจการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable) ประมาณ 400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
สำหรับการสร้างการเติบโตของเมกะวัตต์คุณภาพ (Quality Megawatt) นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 จนถึงปัจจุบัน บริษัทฯ สามารถขยายกำลังผลิตและเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) โครงการโรงไฟฟ้าในพอร์ตธุรกิจตามสัดส่วนการลงทุนเพิ่มขึ้น 580 เมกะวัตต์ ประกอบด้วยกำลังผลิตจากโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงทั่วไปที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (High Efficiency, Low Emissions: HELE) รวม 457 เมกะวัตต์ โดยมาจากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I ในประเทศสหรัฐอเมริกา และโรงไฟฟ้านาโกโซ (Nakoso IGCC) ในประเทศญี่ปุ่น และกำลังผลิตจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใน 3 ประเทศ เพิ่มขึ้นรวม 123 เมกะวัตต์ จากการซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 2 แห่งในประเทศออสเตรเลีย การลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 3 แห่ง และธุรกิจ Solar Rooftop ในประเทศเวียดนาม และการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 3 แห่งในประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังเตรียม COD โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมหวินเจา (Vinh Chau) ระยะที่ 1 ในประเทศเวียดนาม ในไตรมาสที่ 1 ของปี พ.ศ.2565 อีกด้วย ทั้งนี้ ณ ปัจจุบัน บริษัทฯ มีกำลังผลิตรวม 3,242 เมกะวัตต์เทียบเท่า
“บริษัทฯ เดินหน้าขยายกำลังการผลิตเพื่อสร้างความแข็งแกร่งด้านพลังงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายกำลังผลิต 5,300 เมกะวัตต์ภายในปี พ.ศ.2568 แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่พลังงานความร้อนร่วม 4,500 เมกะวัตต์ ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (High Efficiency, Low Emissions: HELE) และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 800 เมกะวัตต์ ซึ่งจะผ่านพอร์ตฟอลิโอของบ้านปูเน็กซ์ 50% “ กิรณ กล่าว
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม พ.ศ. 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.65 บาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลคงเหลือในงวดนี้อีกหุ้นละ 0.35 บาทในวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2565 และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 11 เมษายน พ.ศ.2565
