BGRIM เดินหน้า COD โรงไฟฟ้าพลังงานลม 2 โครงการ บ่อทองวินด์ฟาร์ม 1 และ 2 จังหวัดมุกดาหาร กำลังการผลิต 16 เมกะวัตต์ จำหน่ายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) สัญญาระยะยาว 25 ปี ตอบโจทย์ธุรกิจขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด
ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม บ่อทองวินด์ฟาร์ม 1 และ 2 ตั้งอยู่ที่อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท บ่อทองวินด์ฟาร์ม จำกัด บริษัทย่อยของ บี.กริม เพาเวอร์ (ถือหุ้นร้อยละ 92.2) ล่าสุดได้ทำการเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว ทั้ง 2 โครงการ โดยบ่อทองวินด์ฟาร์ม 2 ได้ COD เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2564 และโครงการบ่อทองวินด์ฟาร์ม 1 เริ่ม COD เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2564
โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ทั้ง 2 โครงการ มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 16 เมกะวัตต์ โดยจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเป็นระยะเวลา 25 ปี โดยมีส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (adder) 3.5 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงจากอัตราค่าไฟฟ้าฐาน เป็นระยะเวลา 10 ปี
“บี.กริม เพาเวอร์ พร้อมเดินหน้าขยายการลงทุนต่อเนื่อง ด้วยปณิธานที่จะส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน ภายใต้หลักธรรมาภิบาล ตลอดจนการบริหารห่วงโซ่คุณค่าอย่างรับผิดชอบ โดยคำนึงถึงผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ผ่านการพัฒนาพลังงานสะอาดและการปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นเป้าหมายของ บี.กริม ในการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด เพื่อร่วมลดภาวะโลกร้อนและดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน จากปัจจุบัน บี.กริม เพาเวอร์ มีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงประมาณ 74% และจากพลังงานทดแทนหรือพลังงานสะอาดประมาณ 26%” ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าว
ทั้งนี้ โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ของ บี.กริม เพาเวอร์ เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่มุ่งขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ภายใต้รูปแบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับภาครัฐทั้งในประเทศไทย และประเทศต่างๆ ทั่วโลก (B2G) เพื่อให้บริการไฟฟ้าและระบบสาธารณูปโภคที่มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพสูงอันเป็นรากฐานสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ โดยจะเป็นการพัฒนาโครงการใหม่หรือการเข้าซื้อกิจการ ทั้งในประเทศไทยและประเทศอื่นๆ เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลก ที่สำคัญคือ เดินหน้าสู่องค์กรที่ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Net-Zero Carbon Emissions ภายในปี 2593