ปัจจุบันปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นหนึ่งในวิกฤตสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของมนุษย์ทั่วโลก อุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่องนำมาซึ่งภัยพิบัติทางธรรมชาติ ความแปรปรวนของฤดูกาล และผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและทรัพยากรน้ำ ซึ่งประเทศไทยเองก็ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว การพัฒนาความรู้และขีดความสามารถของบุคลากรด้านการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างเร่งด่วน รวมถึงการประเมินคาร์บอนฟุตพรินท์ขององค์กรที่ถือเป็นเครื่องมือในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
มหาวิทยาลัยหลายแห่งในประเทศจึงตระหนักถึงความสำคัญของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและได้ดำเนินการประเมินคาร์บอนฟุตพรินท์ โดยมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศอย่าง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้ประกาศความร่วมมือสำคัญเพื่อสร้างขีดความสามารถบุคลากรด้านการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ในงาน “อรุณสรเทศน์รำลึก ปี 2568” ผ่านการบรรยายเชิงลึกในหัวข้อ “การประเมินคาร์บอนฟุตพรินท์องค์กร (Carbon Footprint Organization)” โดย ศ.ดร.อรทัย ชวาลภาฤทธิ์ อาจารย์ภาควิชาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้โครงการ “Chula Learn – Do – Share Plus” เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางและกระบวนการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากกิจกรรมภายในองค์กร พร้อมทั้งสนับสนุนการพัฒนานโยบายที่ยั่งยืนต่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันประเทศไทยสู่เป้าหมาย Net Zero Emission และการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนาคต
ศ.ดร.อรทัย ชวาลภาฤทธิ์ อาจารย์ภาควิชาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันว่า อุณหภูมิโลกได้เพิ่มสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียสแล้ว หากยังคงมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับปัจจุบันไปจนถึงปี 2050 อุณหภูมิโลกอาจเพิ่มขึ้นถึง 2.5 องศาเซลเซียส ซึ่งจะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นมากกว่า 7 เมตรและก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทย เพื่อแก้ปัญหานี้ ประเทศไทยได้เข้าร่วมข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ประเทศยังมุ่งมั่นบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 13 ซึ่งเน้นการปฏิบัติการอย่างเร่งด่วนเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผ่านการเสริมสร้างภูมิต้านทาน การบูรณาการมาตรการในระดับนโยบาย และการสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
สำหรับก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญมีทั้งหมด 7 ชนิด ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂), มีเทน (CH₄), ไนตรัสออกไซด์ (N₂O), ไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs), เพอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PFCs), ซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ (SF₆) และไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ (NF₃) โดยก๊าซเหล่านี้มีคุณสมบัติในการดูดซับความร้อนในชั้นบรรยากาศ ส่งผลต่อภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หากปริมาณของก๊าซเพิ่มสูงขึ้น อุณหภูมิโลกก็จะเพิ่มตาม โดยคาร์บอนไดออกไซด์มีสัดส่วนมากที่สุดถึง 79% รองลงมาคือ มีเทน 11% และไนตรัสออกไซด์ 7% แหล่งกำเนิดก๊าซเรือนกระจกส่วนใหญ่มาจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การผลิตไฟฟ้า การคมนาคมขนส่ง การเกษตร และการจัดการขยะ รวมถึงปฏิกิริยาการเผาไหม้ เช่น การเผาไหม้ไฮโดรคาร์บอน (CH₄) กับออกซิเจน (O₂) ซึ่งก่อให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) และน้ำ (H₂O) ในปี 2022 ประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมประมาณ 300 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (KtCO2eq) ซึ่งจัดเป็นอันดับที่ 21 ของโลก
ศ.ดร.อรทัย กล่าวอีกว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงได้ประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นต์องค์กร โดยครอบคลุม 3 ขอบเขตสำคัญ ได้แก่ Scope 1 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิง, Scope 2 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงานไฟฟ้า และ Scope 3 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ เช่น การเดินทางและการจัดการของเสีย
ในช่วงปี 2561-2565 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของมหาวิทยาลัยมีแนวโน้มลดลง จากประมาณ 60,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (KtCO2eq) ในปี 2561 เหลือประมาณ 50,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (KtCO2eq) ในปี 2565 โดยการปล่อยก๊าซใน Scope 2 ลดลงอย่างต่อเนื่องเนื่องจากผลกระทบจากโควิด-19 และการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ส่วน Scope 1 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการรั่วไหลของสารทำความเย็น และ Scope 3 ลดลงเล็กน้อยเช่นกัน โดยคณะวิศวกรรมศาสตร์เป็นหนึ่งในคณะที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดประมาณ 5,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (KtCO2eq) คิดเป็น 10% ของการปล่อยทั้งหมดในมหาวิทยาลัย ซึ่งมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ดำเนินการ ได้แก่ การเปลี่ยนหลอดไฟเป็นแบบประหยัดพลังงาน การใช้รถไฟฟ้า การปรับปรุงระบบบำบัดน้ำเสีย และการเปลี่ยนแอร์เป็นรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม
ทั้งนี้ การประเมินคาร์บอนฟุตพรินท์สามารถดำเนินการได้หลายระดับ ตั้งแต่ระดับผลิตภัณฑ์ ระดับบุคคล ระดับองค์กร ไปจนถึงระดับเมือง หากองค์กรต้องการขึ้นทะเบียนกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) จะต้องประเมิน Scope 1 และ 2 แต่หากเป็นมาตรฐาน ISO ระดับนานาชาติ จำเป็นต้องครอบคลุมทั้ง 3 Scope เพื่อให้ได้มาตรฐานการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างยั่งยืน