สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) จัดกิจกรรม NSTDA Meets the Press นักวิจัยพบปะสื่อมวลชน เพื่อสัมภาษณ์พูดคุยในหัวข้อ “ชวนรู้จัก ฐานข้อมูลด้าน CO2, CE, SDGs เพื่อการค้าและความยั่งยืน นำประเทศไทยสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ” ณ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
สถาบัน TIIS ถือเป็นหน่วยงานที่ให้บริการครบวงจร (One stop Service) ด้านข้อมูลและสารสนเทศเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม การค้าและความยั่งยืน เพื่อให้สาธารณชนภาคส่วนต่าง ๆ เข้าใจบทบาทสำคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ รวมถึงการสร้างความร่วมมือและพัฒนาศักยภาพ เพื่อให้ทุกภาคส่วนในสังคมสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากข้อมูลและเครื่องมือต่างๆ เพื่อการตัดสินใจและการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจในระยะยาว โดยฐานข้อมูล CO2, CE, SDGs เป็นฐานข้อมูลที่รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ 3 ด้านหลัก ได้แก่ CO2 (Carbon Dioxide) ข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ CE (Circular Economy) ข้อมูลเกี่ยวกับเศรษฐกิจหมุนเวียน และ SDGs (Sustainable Development Goals) ข้อมูลเกี่ยวกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งฐานข้อมูลทั้ง 3 ด้านนี้ช่วยให้รัฐบาล ภาคธุรกิจ และประชาชนสามารถติดตาม ประเมินความคืบหน้าของประเทศในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
ยกระดับฐานข้อมูล สู่เศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ
ดร.นงนุช พูลสวัสดิ์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัย สถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า สวทช. มุ่งมั่นที่จะพัฒนาและปรับปรุงฐานข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเชื่อว่าการใช้ข้อมูลที่แม่นยำและครอบคลุมจะเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมเปิดเผยถึงความก้าวหน้าล่าสุดของฐานข้อมูล CO2, CE, SDGs ว่า สถาบัน TIIS ได้พัฒนาชุดข้อมูลค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Factor: EF) ที่ครอบคลุม 22 กลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ ซึ่งเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการออกแบบและรับรองฉลากสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์
นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาฐานข้อมูลและตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียน ได้แก่ ดัชนีการหมุนเวียนวัสดุ (Material Circularity Index, MCI) ในผลิตภัณฑ์เป้าหมาย 12 ประเภทของอุตสาหกรรมก่อสร้าง เพื่อสนับสนุนการประเมินและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งฐานข้อมูลเหล่านี้ล้วนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน BCG Economy และการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย โดยช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนผ่านการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เกิดการใช้วัตถุดิบรอบสอง ส่งเสริมโมเดลธุรกิจหมุนเวียน รวมทั้งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ฉลากคาร์บอน (CO2) สำคัญอย่างไร?
ดร.นงนุช กล่าวว่า ฉลากคาร์บอนมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับสินค้าไทยในตลาดโลก จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่แสดงข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ครอบคลุมตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การกระจายสินค้า การใช้งาน ไปจนถึงการจัดการของเสีย ไม่เพียงช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังกระตุ้นให้ผู้ประกอบการไทยปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ สถาบัน TIIS ได้จัดทำชุดข้อมูลค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่พร้อมให้บริการ ประกอบด้วยค่ากลางจาก 22 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมอุตสาหกรรมพื้นฐานสำคัญของประเทศ โดยได้แปลงค่าผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้อยู่ในหน่วย “กิโลกรัมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า” หรือ “kgCO2eq.”
ฉลากคาร์บอนเปิดทางให้สินค้าไทยก้าวสู่ตลาดโลก
ดร.เอนกประชา แก้วมณี ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจโรงกลั่น บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บางจากฯ ตระหนักถึงประเด็นเรื่องวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเพื่อแสดงความมุ่งมั่นในการตอบสนองประเด็นนี้ บริษัทฯ ได้กำหนดเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2030 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions) ในปี 2050 โดยผ่านแผนงาน BCP 316 NET ครอบคลุมการดำเนินงาน 4 แนวทาง ได้แก่ Breakthrough Performance (30%) Conserving Nature and Society (10%) Proactive Business Growth and Transition (60%) และ Net Zero Ecosystem
เช่นเดียวกับโรงกลั่นพระโขนง ที่มีการปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงานในการผลิตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งเพื่อจะสามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ได้ ทั้งนี้การประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product) นั้นเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยให้บริษัทฯ สามารถวิเคราะห์ถึง hotspot ที่มีการใช้พลังงานมากและนำไปพัฒนาในการลดการใช้พลังงานต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ที่ขอการรับรองฉลากคาร์บอนทั้ง 5 ผลิตภัณฑ์ได้แก่ น้ำมันเตา , ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) , น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว , น้ำมันแก๊สโซลีนพื้นฐาน และน้ำมันก๊าดหรือน้ำมันเครื่องบิน
“การเลือกใช้วัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ที่มีการปลดปล่อยคาร์บอนต่ำตั้งแต่ต้นทาง จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับผู้ประกอบการของประเทศไทย ขณะเดียวกันผู้ประกอบการไทยควรศึกษาข้อมูลและแนวทางการขอรับฉลากคาร์บอน เพื่อนำไปปรับใช้กับผลิตภัณฑ์ของตนเอง และร่วมกันผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” ดร.เอนกประชา กล่าว
MCI ดัชนีสำคัญ ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่จำกัด
วิชัย รายรัตน์ Sustainable Development Director บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด กล่าวว่า การนำดัชนี MCI มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการผลิตของบริษัท ถือเป็นสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทุก ๆ ด้าน ทั้งการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้ทดแทนถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ การลดการใช้ทรัพยากรน้ำ และรวมถึงการลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วหมดไป (Nonrenewable resources) โดยนำวัสดุหมุนเวียนมาใช้ทดแทน ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เอสซีจีใช้เป็นตัวขับเคลื่อนหลักควบคู่กับการมุ่งไปสู่ Net Zero โดยค่าประสิทธิภาพหมุนเวียนของวัสดุก่อสร้าง (Material Circularity Indicator: MCI) หรือที่เรียกว่า ดัชนี MCI คือ ตัวชี้วัดที่บ่งบอกถึงระดับการหมุนเวียนของวัสดุในผลิตภัณฑ์หนึ่ง ๆ โดยเปรียบเทียบกับวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การผลิต การใช้งาน จนถึงการจัดการของเสีย หากผลิตภัณฑ์ใดมีค่า MCI สูง แสดงว่าผลิตภัณฑ์นั้นสามารถนำกลับมาใช้ใหม่หรือรีไซเคิลได้มากขึ้น
สำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน เอสซีจีได้มีการตั้งเป้าหมายให้แต่ละธุรกิจต้องมีการนำวัสดุทดแทนมาใช้ โดยตั้งเป้าหมายในปี 2030 ให้มีการนำวัสดุหมุนเวียนมาใช้ทดแทนวัตถุดิบธรรมชาติให้ได้ 10% ซึ่งในปี 2023 เอสซีจีสามารถใช้วัสดุหมุนเวียนได้ 6.64% ซึ่งแนวทางสำคัญคือการนำวัสดุที่เป็นของเสียที่ไม่เป็นอันตรายทั้งจากภายในและภายนอกเอสซีจีหรือสินค้าที่หมดอายุการใช้งาน กลับมาใช้เป็นวัตถุดิบทดแทน ในสัดส่วนที่สินค้ายังได้คุณภาพและเป็นไปตามมาตรฐาน นอกจากนี้ยังพัฒนาวิจัยที่จะนำวัสดุธรรมชาติที่สามารถทดแทนใหม่ได้ (Renewable resources) มาทดแทนเพิ่มเติมอีกด้วย โดยใช้ดัชนี MCI มาเป็นเครื่องมือในการประเมินประสิทธิผลของการหมุนเวียนวัสดุทดแทนของสินค้าแต่ละประเภท เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีค่า MCI สูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ปูนเอสซีจี คาร์บอนต่ำ มีการนำเถ้าลอย (Fly ash) มาทดแทนหินปูน และใช้ยิปซั่มสังเคราะห์มาทดแทนแร่ยิปซั่มธรรมชาติ
“ผลลัพธ์ที่ได้จากการนำดัชนี MCI มาใช้ เป็นข้อมูลในการประเมินประสิทธิผลการหมุนเวียนวัสดุของสินค้าวัสดุก่อสร้างของเอสซีจีแต่ละประเภท ทำให้กรอบการดำเนินงานด้านเศรษกิจหมุนเวียนของเอสซีจีมีความชัดเจนมากขึ้น และอีกองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญในการวัดค่าดัชนี MCI คือการหมุนเวียนสินค้าที่หมดอายุการใช้งานหรือเป็นของเสียในระหว่างติดตั้งให้มีการนำกลับมาสู่ระบบการหมุนเวียน ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่เอสซีจีให้ความสำคัญและดำเนินการ เช่น การนำเศษคอนกรีตจากการก่อสร้างหรือทุบทำลายมาย่อยและนำกลับมาใช้ทดแทนหินปูนในการทำคอนกรีต การนำโถสุขภัณฑ์ที่ไม่ใช้แล้วซึ่งทำงานร่วมกันกับโฮมโปร นำมาย่อยและนำกลับมาใช้เป็นวัตถุดิบทดแทนดินในการทำกระเบื้อง การนำเศษอิฐมวลเบาหรือเศษกระเบื้องหลังคาคอนกรีต มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หรือนำกลับมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงงาน” วิชัย กล่าวทิ้งท้าย