กลุ่มธุรกิจโคคา-โคล่า ในประเทศไทย ประกอบด้วย บริษัท ไทยน้ำทิพย์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้าสานต่อโครงการ “รักน้ำ” ที่ทาง “โคคา-โคล่า” มุ่งมั่นผลักดันเพื่อแก้ไขปัญหาทรัพยากรน้ำของชุมชนต่าง ๆ ในประเทศไทย โดยการใช้นวัตกรรมและความร่วมมือจากหลากหลายภาคส่วน เพื่อให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมกับการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างแท้จริงและแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน
จากปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศไทยในช่วงเวลาเดียวกันหรือสลับกันนั้นเอง ล้วนมีสาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การตัดไม้ทำลายป่า การบริหารจัดการน้ำที่ไม่ยั่งยืน และปัญหาการขาดแคลนน้ำสะอาดในชุมชนหลายแห่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท ยังคงขาดแคลนน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคบริโภค ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงการจัดการน้ำที่ไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากขาดความรู้และทรัพยากรในการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ทำให้เกิดปัญหาการใช้น้ำอย่างสิ้นเปลืองและไม่สามารถรับมือกับภัยธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัญหาทั้งหมดนี้จึงสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ ทำให้เกิดความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ โครงการ “รักน้ำ” จึงเกิดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยมุ่งเน้นการสร้างความสมดุลของน้ำ การจัดหาน้ำสะอาด การส่งเสริมการจัดการน้ำอย่างยั่งยืนด้วยการมอบองค์ความรู้แก่ชาวบ้านในพื้นที่
โครงการ “รักน้ำ” ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 17 ปี โดยได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิโคคา-โคล่า และมูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทย และดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือกับหลายองค์กรพันธมิตร อาทิ มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรอื่น ๆ เครือข่ายชุมชนท้องถิ่น และหน่วยงานราชการท้องถิ่น ปัจจุบันโครงการ “รักน้ำ” ได้เข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาน้ำชุมชนใน 9 จังหวัดทั่วประเทศไทย อันได้แก่ จังหวัดบุรีรัมย์ ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี มหาสารคาม และกระบี่ ซึ่งโครงการในจังหวัดเหล่านี้ได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิโคคา-โคล่าในแอตแลนตา สหรัฐอเมริกา รวมถึงจังหวัดลำปาง นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ และปทุมธานี ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทย
ผู้แทนจากองค์กรพันธมิตรในโครงการ “รักน้ำ” พร้อมด้วยผู้แทนชุมชนบ้านลิ่มทอง จังหวัดบุรีรัมย์ หนึ่งในพื้นที่โครงการ “รักน้ำ” จึงร่วมพูดคุยบนเวทีภายใต้หัวข้อ “แลกเปลี่ยน เรียนรู้ กับโครงการ “รักน้ำ” การจัดการน้ำในชุมชนอย่างยั่งยืนด้วยนวัตกรรม” ภายในงานสัมมนา Sustrends 2025 ซึ่งอัปเดตเทรนด์สิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนประจำปี โดยมีเป้าหมายเพื่อแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวทางความสำเร็จของการจัดการน้ำที่สามารถช่วยให้ชุมชนให้มีทรัพยากรน้ำเพียงพอต่อการอุปโภค บริโภค รวมถึงสร้างความเปลี่ยนแปลงในชุมชนอย่างยั่งยืนต่อเนื่องมากว่า 17 ปี เพื่อมุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นให้เกิดการลงมือทำ เพื่อยกระดับความมั่นคงและความยั่งยืนของทรัพยากรน้ำ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ “โคคา-โคล่า” ดำเนินกิจการอยู่กว่า 200 ประเทศและเขตการปกครอง
ศรุต วิทยารุ่งเรืองศรี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ การสื่อสาร และความยั่งยืน บริษัท โคคา-โคล่า ประจำประเทศไทย เมียนมา และลาว กล่าวว่า “ “โคคา-โคล่า” ตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรน้ำ เพราะ “น้ำ” คือชีวิต และเพราะน้ำมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของผู้คน ต่อการผลิตเครื่องดื่มของเรา และต่อชุมชนที่เราดำเนินงานอยู่ ตลอด 17 ปีที่ผ่านมา โครงการ “รักน้ำ” ได้เข้าไปพัฒนาแหล่งน้ำชุมชนซึ่งชาวบ้านในพื้นที่ใช้เพื่ออุปโภค บริโภค และเกษตรกรรม โครงการ “รักน้ำ” มุ่งใช้นวัตกรรมเพื่อการจัดการน้ำในชุมชนอย่างยั่งยืน โดยได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรองค์กรการกุศลของเราอย่างมูลนิธิโคคา-โคล่า และมูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทย ผ่านการทำงานภายใต้ความร่วมมือกับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรต่าง ๆ รวมถึงเครือข่ายชุมชนเอง ความสำเร็จของโครงการ “รักน้ำ” ใน 6 จังหวัดได้ช่วยให้ชาวบ้านสามารถจัดการน้ำ อนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ และพัฒนาแหล่งน้ำได้ด้วยตนเอง ในปีนี้เราจึงยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต่อยอดความสำเร็จด้วยการขยายโครงการ “รักน้ำ” ไปสู่พื้นที่ใหม่ ๆ ในอีก 3 จังหวัด อันได้แก่ จังหวัดมหาสารคาม เพชรบูรณ์ และกระบี่
ในแต่ละชุมชนเผชิญปัญหาน้ำที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้งหรืออุทกภัย แผนการจัดการน้ำจึงได้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาให้คนในชุมชนได้เตรียมพร้อมและรับมือกับปัญหาน้ำได้ดียิ่งขึ้น ดังกรณีตัวอย่างที่ชุมชนบ้านลิ่มทอง จังหวัดบุรีรัมย์ ชาวบ้านในชุมชนได้รวมกลุ่มเพื่อช่วยกันจัดการทรัพยากรน้ำ โดยการสร้างแหล่งน้ำสาธารณะ สร้างระบบทางเดินของน้ำที่เหมาะกับสภาพพื้นที่ ขุดลอกคูคลอง และปรับการเพาะปลูกพืชผลให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำ ทำให้มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นจนเพียงพอต่ออุปโภค บริโภค รวมไปถึงการทำเกษตรกรรมก็สามารถเพาะปลูกพืชผลได้หลากหลาย และสร้างงานให้กับชุมชน แม้ว่าโครงการ “รักน้ำ” ในชุมชนบ้านลิ่มทองจะสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา แต่วิธีการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนที่ได้นำมาใช้ยังคงสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับชุมชนในเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จและองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นในชุมชนนี้ยังได้เป็นโมเดลต้นแบบการจัดการน้ำให้ชุมชนอื่น ๆ ได้นำไปปรับใช้ ดังที่ชุมชนในจังหวัดเพชรบูรณ์ที่เริ่มต้นโครงการในปี พ.ศ. 2567
สนิท ทิพย์นางรอง ผู้นำจัดการน้ำชุมชนบ้านลิ่มทอง จังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า ก่อนที่ชุมชนของเราจะเข้าร่วมโครงการ “รักน้ำ” เดิมทีชุมชนเรามักประสบกับปัญหาพื้นที่น้ำแล้ง และน้ำหลาก ซึ่งสาเหตุของปัญหามาจากการที่เราไม่มีพื้นที่กักเก็บน้ำ ทำให้เราไม่สามารถประคับประคองให้ครอบครัวสามารถอยู่รอดได้เพียงแค่ปลูกพืชเพื่อหวังกำไร จึงเกิดการอพยพเพื่อทำงานในตัวเมือง แต่หลังจากที่เราได้เข้าร่วมโครงนี้ ชีวิตความเป็นอยู่ได้เปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้ชุมชนของเรามีองค์ความรู้และเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารพื้นที่เพื่อกักเก็บน้ำ ส่งผลให้เราสามารถร่วมกันแก้ไขปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงสามารถนำน้ำที่เรากักเก็บไว้มาใช้ในการปลูกข้าว หรือปลูกพืชผลทางเกษตรต่างๆ เพื่อเพิ่มรายได้เและสร้างความสัมพันธ์อันดีแก่ครอบครัวและชุมชนมากขึ้น
ดร.รอยล จิตรดอน กรรมการและเลขาธิการ มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า มูลนิธิอุทกพัฒน์ฯ ได้ร่วมดำเนินงานโครงการ “รักน้ำ” ด้วยการส่งต่อความรู้ ให้ชุมชนที่อยู่นอกเขตชลประทานได้ประยุกต์ใช้แนวพระราชดำริด้านน้ำของรัชกาลที่ 9 ไปพัฒนา ฟื้นฟู และบริหารจัดการน้ำได้อย่างยั่งยืน และสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือทั้งในชุมชน และหน่วยงานภายนอก เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาน้ำได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ปัจจุบัน สถานการณ์น้ำของประเทศไทย ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ชุมชนจึงจำเป็นต้องปรับตัว และสร้างภูมิคุ้มกันของตนเอง คือมีน้ำสำรองไว้ใช้ในยามขาดแคลน เพื่อลดผลกระทบต่อการทำเกษตรกรรม รวมทั้งส่งเสริมการทำเกษตรตามแนวทฤษฎีใหม่ ซึ่งชุมชนบ้านลิ่มทองคือตัวอย่างความสำเร็จนี้ นอกจากนี้ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน. ได้เข้าไปถ่ายทอดการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านการสำรวจพื้นที่มาพัฒนาแหล่งน้ำ ทำให้น้ำกระจายได้ทั่วทั้งชุมชนตามแรงโน้มถ่วง และทำปฏิทินผลผลิต คำนวนปริมาณน้ำให้เหมาะสมกับการเพาะปลูก
ผลสำเร็จของบ้านลิ่มทองนี้ไม่เพียงแก้ปัญหาน้ำเท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างอาชีพ รายได้ และทำให้ครอบครัวกลับมาพร้อมหน้า ลดการย้ายถิ่นฐาน ขณะที่โลกยุคปัจจุบันมีนวัตกรรมต่าง ๆ ที่ก้าวหน้าขึ้นมาก เราหวังว่าการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะช่วยให้ชุมชนใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการน้ำและเกษตร รวมทั้งการขายและการตลาด ให้ชุมชนประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น และเป็นตัวอย่างให้ชุมชนอื่น ๆ ต่อไป นอกจากนี้ โครงการ “รักน้ำ” ในจังหวัดขอนแก่น ถือเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่ประสบความสำเร็จในการนำวิธีแก้ปัญหาที่เป็นนวัตกรรมมาใช้ในการจัดการน้ำ
มีชัย วีระไวทยะ ผู้ก่อตั้งและนายกสมาคม สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน (PDA) กล่าวว่า สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชนมุ่งเน้นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน โดยตระหนักว่า “น้ำ” ป็นทรัพยากรที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของชุมชน เราได้ศึกษาแนวทางพัฒนาชุมชนรูปแบบใหม่ ๆ ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการแก้ปัญหาน้ำ ด้วยการให้ชาวบ้านสร้างโอ่ง และถังเก็บน้ำฝน กว่า 5 หมื่นลิตร ดังเช่นโครงการ “รักน้ำ” ในจังหวัดขอนแก่น ที่ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิโคคา-โคล่า โดยได้เข้าไปช่วยพัฒนาให้ชุมชนเข้าถึงน้ำได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยแก้วิกฤตภัยแล้ง และยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวบ้าน
โครงการนี้ยังได้ส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการติดตั้งระบบจัดการน้ำที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น ระบบการจัดการน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ (SPWS) และระบบการจัดการเติมน้ำสู่ชั้นน้ำใต้ดิน (MAR) พร้อมเสริมสร้างศักยภาพให้ผู้คนในชุมชน โดยสนับสนุนให้ชุมชนได้เป็นเจ้าของโครงการ รวมทั้งผลักดันการมีส่วนร่วมและการลงทุนในพลังงานสะอาดของชุมชน ไปจนถึงการบริหารจัดการแหล่งน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้มั่นใจได้ว่าโครงการนี้จะประสบความสำเร็จในระยะยาว และสามารถพลิกฟื้นพื้นที่ที่เคยประสบปัญหาภัยแล้งมาอย่างยาวนานให้กลับคืนสู่ความอุดมสมบูรณ์ได้ ความสำเร็จนี้ได้ตอกย้ำว่าการมีส่วนร่วมของชุมชนและวิธีแก้ปัญหาที่ตรงจุดของแต่ละชุมชนนั้นมีประสิทธิภาพและสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นแบบอย่างให้แก่ภูมิภาคอื่น ๆ ที่กำลังเผชิญปัญหาที่คล้ายคลึงกันอีกด้วย
ความสำเร็จของโครงการ “รักน้ำ” ในจังหวัดขอนแก่นได้รับการนำไปต่อยอดให้กับโครงการใหม่ในจังหวัดมหาสารคามและจังหวัดกระบี่ ที่เริ่มในช่วงต้นปีที่ผ่านมานี้ โดยนำรูปแบบการจัดการน้ำของจังหวัดขอนแก่นมาปรับใช้ในการแก้ปัญหาน้ำของชุมชน เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของชุมชน พร้อมขยายผลจากชุมชนสู่โรงเรียน วัด และโรงพยาบาล เพื่อสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งสามารถเป็นศูนย์การเรียนรู้และเป็นต้นแบบของโครงการได้ อันจะนำไปสู่การจัดการน้ำที่ยั่งยืนในระยะยาว ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจโคคา-โคล่า ในประเทศไทย พร้อมด้วยพันธมิตร ยังคงทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่เพื่อพัฒนาแนวทางการจัดการน้ำที่ยั่งยืนยิ่งขึ้นต่อไป โดยสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการ “รักน้ำ” และโครงการด้านการจัดการน้ำในปัจจุบันได้ที่: เว็บไซต์ของโคคา-โคล่า ประเทศไทย