IRPC เผย 9 เดือนแรกปี’64 กำไร 1.23 หมื่นล้าน จากราคาน้ำมันดิบพุ่ง


บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ผลการดำเนินงาน ไตรมาส 3/2564 เปรียบเทียบกับไตรมาส 3/2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ 2,155 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% และรายได้จากการขายสุทธิเพิ่มขึ้น 62,088 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65%

โดยมีสาเหตุจากราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น66% ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่ปริมาณขายลดลง 1% โดยโรงกลั่นน้ำมันมีอัตราการกลั่นอยู่ที่ 191,000 บาร์เรลต่อวัน ลดลง 2% Market GIM เพิ่มขึ้น 2,279 ล้านบาท หรือ 46% โดยมีสาเหตุจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

ถึงแม้ว่า บริษัท มีกำไรจากสด๊อกน้ำมันสุทธิลดลง 1,442 ล้านบาท บริษัท ยังมี Accounting GIM เพิ่มขึ้น 837 ล้านบาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายดำเนินงานเพิ่มขึ้น 170 ล้านบาทส่งผลให้ EBITDA เพิ่มขึ้น 347 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 6%

บริษัทฯ บันทึกค่าเสื่อมราคาลดลง 130 ล้านบาท ต้นทุนทางการเงินสุทธิลดลง 25 ล้านบาท หรือ6% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลง ขณะที่ขาดทุนจากการสัญญาอนุพันธ์ทางการเงิน เพิ่มขึ้น 212 ล้านบาท ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินกู้สกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 133 ล้านบาท เนื่องจากค่าเงินบาทอ่อนค่า ในขณะที่ขาดทุนจากการบริหารความเสี่ยงน้ำมันที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง ลดลง 449 ล้านบาท กำไรจากการลงทุนเพิ่มขึ้น 66 ล้านบาท บริษัทฯ บันทึกภาษีเงินได้จำนวน 460 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26%

งวด 9 เดือน ปี 2564 เปรียบเทียบกับงวด 9 เดือน ปี 2563 บริษัทมีรายได้จากการขายสุทธิ 167 ,334 ล้านบาท เพิ่มขึ้น50% และมีกำไรสุทธิ 12,310 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 7,760 ล้านบาท

ส่วนใหญ่เนื่องจากราคาขายเฉลี่ยพิ่มขึ้น 51% ดามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ปริมาณขายลดลง1% โดยโรงกลั่นน้ำมันมีอัตราการกลั่นอยู่ที่ 190,000 บาร์เรลต่อวัน ลดลง 1% บริษัทฯ มี Market GIM อยู่ที่ 22,908 ล้านบาท ( 13.92 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล) เพิ่มขึ้น 73% เนื่องจากสวนต่างราคาผลิตภัณฑ์ทั้งปีโตรเยมและโตรเคมีปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เริ่มคลี่คลายมากขึ้น จากการที่ประชากรทั่วโลกได้รับการฉีดวัคชันมากขึ้น และหลายประเทศเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown

สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกและพันธมิตร ทำให้บริษัทฯ มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันสุทธิรวม 10,837 ล้านบาท หรือ 6.59 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ประกอบด้วยกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 10,990 ล้านบาท ขณะที่ขาดทุนจาก Realized Oil Hedging 153 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปิ้ก่อนที่ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันสุทธิรวม 2,952 ล้านบาท หรือ 1.78 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่งผลให้บริษัทฯ มี Accounting GIM จำนวน 33,745 ล้านบาท หรือ 20.51 เหรียญสหรัฐฯ ด่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 23,427 ล้านบาท หรือ 14.26 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มีค่าใช้จ่ายดำเนินงานจำนวน 9,924 ล้านบาท ลดลง1%

ส่งผลให้บริษัทฯ มี EBITDA จำนวน 23,868 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22,957 ล้านบาทบริษัทฯ มีต้นทุนทางการเงินสุทธิจำนวน 1,298 ล้านบาท ลดลง 6% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับ
ลดลง ขาดทุนจากกรทำสัญญาอนุพันธ์ทางการเงิน 409 ล้านบาท ลดลง 31% ขณะที่มีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของเงินกู้สกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ จำนวน 544 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 97% เนื่องจากค่าเงินบาทอ่อนค่า

นอกจากนี้ บริษัทฯ บันทึกขาดทุนจากการบริหารความเสี่ยงน้ำมันที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง จำนวน 1,213 ล้านบาท ลดลง31% กำไรจากกรลงทุน 503 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 137% และบันกภาษี เงินได้จำนวน 2,032 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีเครดิตภาษีเงินได้ จำนวน 1,919 ล้านบาท


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เอง โดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save