บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เดินหน้าโครงการสำคัญ Jorakay Green Earth พาหัวใจสีเขียวไปร่วมปลูกป่า ปีที่ 2 สู่การวัดผลอย่างเป็นระบบตามมาตรฐานการลดก๊าซเรือนกระจกโดยสมัครใจของประเทศไทยผ่านโครงการ T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) ภายใต้การกำกับดูแลขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO
ในปีที่ผ่านมา จระเข้ได้เริ่มต้นปลูกป่าชายเลนในจังหวัดตรังบนพื้นที่ 62.5 ไร่ และในปีนี้ยังคงเดินหน้าสานต่อภารกิจด้วยการลงพื้นที่ตรวจสอบและประเมินผลป่าชายเลนอย่างเป็นระบบ พร้อมเร่งจัดทำเอกสารข้อเสนอโครงการและเข้าสู่ขั้นตอนการทวนสอบโดยหน่วยงานภายนอก (Validation and Verification Body หรือ VVB) เพื่อมุ่งสู่การขึ้นทะเบียน T-VER ในขั้นตอนต่อไป โดยคาดว่าตลอดระยะเวลา 10 ปี โครงการจะสามารถชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 1,200 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ตอกย้ำเจตนารมณ์ “ลงมือจริง-ดูแลจริง”

ศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า การเข้าร่วมโครงการ T-VER ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนความมุ่งมั่นของจระเข้ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การผลิต การดำเนินธุรกิจ ไปจนถึงการชดเชยผ่านการดูแลทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะในโครงการ “Jorakay Green Earth” ที่วางเป้าหมายให้องค์กรบรรลุสถานะคาร์บอนเป็นกลางภายในปี 2050 และบรรลุ Net Zero ในปี 2065 ทั้งนี้ยังสอดคล้องกับกลยุทธ์ 5SD ที่เน้นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่คุณค่า

หนึ่งในมาตรการสำคัญของโครงการคือการฟื้นฟูป่าชายเลนร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมถึงเครือข่าย Thailand Mangrove Alliance และชุมชนในพื้นที่ ซึ่งในปีที่ 2 ของโครงการ จระเข้ยังคงเดินหน้าดูแลพื้นที่ป่าชายเลนกว่า 62.5 ไร่อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 10 ปี พร้อมจัดสรรงบประมาณระยะยาวเพื่อสนับสนุนรายได้และการมีส่วนร่วมของชุมชนในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งนี้ ในปีแรกของโครงการ ได้ใช้งบประมาณกว่า 77% จากงบรวมเพื่อจ้างแรงงานชุมชนในกระบวนการปรับปรุงพื้นที่ เพาะกล้า กำจัดวัชพืช และดูแลต้นไม้ที่ปลูกอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นงบประมาณที่แยกจาก CSR อย่างชัดเจน มาจากรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ เช่น กาวซีเมนต์ 1 ถุงจะถูกนำไปสนับสนุนโครงการบางส่วน
ในด้านของบรรจุภัณฑ์ที่นับเป็นโปรเจกต์แรก บริษัทได้พัฒนา “กรีนแพค” หรือถุงรักษ์โลก ซึ่งร่วมออกแบบกับลูกค้าภายใต้แนวคิดลดการใช้พลาสติก ใช้กระดาษรีไซเคิล ลดการพิมพ์หมึก และเลือกใช้หมึกจากถั่วเหลือง เพื่อให้ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมสูงสุด โดยสามารถวางจำหน่ายได้ในระยะเวลาเชลฟ์ไลฟ์ 8 เดือน ทั้งยังคงคุณภาพเดิมไว้ครบถ้วน แสดงถึงจุดยืนในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมควบคู่กับภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ จระเข้ยังได้ติดตั้งโซลาร์รูฟ 3 เฟส ซึ่งสามารถผลิตพลังงานสะอาดได้สูงสุดถึง 30% ของพลังงานทั้งหมดที่ใช้ในโรงงาน โดยกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนเพิ่มแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน ทั้งนี้ บริษัทยังเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่มีค่าคาร์บอนต่ำ เช่น ปูนเมเทอเรียล รวมถึงปรับเปลี่ยนระบบการขนส่งภายในจากใช้น้ำมันมาเป็นระบบไฟฟ้า เช่น รถโฟล์คลิฟท์ เพื่อช่วยลดการปล่อยคาร์บอน
ศุภพงษ์ กล่าวอีกว่า ในระดับองค์กร จระเข้ได้เริ่มต้นกระบวนการตรวจวัดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ เพื่อประเมินปริมาณการปล่อยคาร์บอน และจัดทำแผนเพื่อลดการปล่อยให้เข้าสู่เป้าหมายคาร์บอนเป็นศูนย์ โดยพิจารณาทั้งใน Scope 1, 2 และ Scope 3 ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่สำคัญ โดยเฉพาะใน Scope 3 ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการภายนอกองค์กร เช่น การจัดการซัพพลายเชนและการจัดการขยะ
ทั้งนี้ เรายังให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของชุมชนรอบโรงงาน โดยส่งเสริมการแยกขยะและนำขยะมารีไซเคิลอย่างถูกต้อง พร้อมสื่อสารความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมให้กับชุมชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างจิตสำนึกและยกระดับความเข้าใจของผู้บริโภค โดยเฉพาะในการเลือกใช้สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น “กาวซีเมนต์เขียว” ซึ่งเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการตอบรับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยในทุกกระบวนการทำงานของจระเข้ล้วนมีเป้าหมายร่วมคือการลดโลกร้อน โดยการปรับปรุงสินค้าและกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการเกิดขยะ ลดการใช้พลังงาน และลดต้นทุนการซ่อมบำรุง

“เราเลือกสร้างคาร์บอนเครดิตด้วยป่าชายเลน เพราะที่แห่งนี้คืออนาคตของเศรษฐกิจสีเขียว ป่าชายเลนดูดซับคาร์บอนมากกว่าป่าบนบกถึง 4 เท่า โดยพื้นที่เพียง 1 ไร่ สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 9.4 ตันต่อปี การปลูกป่าชายเลนจึงเป็น ‘กลไกที่ทรงพลัง’ ในการลดคาร์บอน นอกจากนี้ โครงการนี้ยังช่วยสร้างความมั่นคงของชายฝั่ง อนุบาลสัตว์น้ำ และเพิ่มรายได้ชุมชนในระยะยาว การฟื้นฟูป่าชายเลน จึงเป็น ‘ทางเลือกที่ทรงพลัง’ ในการสร้างคาร์บอนเครดิตที่ยั่งยืนและมีคุณค่าต่อระบบนิเวศอย่างแท้จริง” ศุภพงษ์ กล่าว
จระเข้ คอร์ปอเรชั่น มุ่งหวังให้โครงการ Jorakay Green Earth เป็นต้นแบบของการลงมือทำจริงเรื่องความยั่งยืน โดยจระเข้ เป็นองค์กรเอกชนรายแรกของพันธมิตร 33 องค์กร ที่ลงมือปลูกต้นกล้าและดูแลป่าชายเลนบนพื้นที่กว่า 62.5 ไร่ พร้อมดูแลต่อเป็นระยะเวลา 10 ปี ในอนาคต จระเข้ มุ่งเดินหน้าสร้างมาตรฐานใหม่และเป็นต้นแบบให้องค์กรเอกชนไทยดำเนินนโยบายด้านความยั่งยืนอย่างเป็นระบบ พร้อมสร้างสรรค์วงการก่อสร้างสีเขียวที่ดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น