ปัจจุบันกระแสรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ Electric Vehicle (EV) กำลังกลายเป็นทางเลือกที่ผู้บริโภคให้ความสนใจมากขึ้นในขณะนี้ ทำให้ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกเกิดการตื่นตัวในการพัฒนานวัตกรรมรถยนต์เพื่อให้เกิดการพึ่งพารถยนต์ไฮบริด ขณะที่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนผนึกแนวคิดร่วมมือผลักดันให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า พร้อมกับทยอยติดตั้งสถานีชาร์จแบตเตอรี่รองรับทั่วประเทศ อาทิ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ตลอดจน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รวมถึง บริษัท พลังงานบริสุทธ์ จำกัด (มหาชน)
เมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย สร้างปรากฎการณ์เปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า “NEW MG ZS EV” เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกของเอ็มจีอย่างเป็นทางการในประเทศไทย เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์อีกขั้นหนึ่งของการพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมการขับขี่ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้บริโภคและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อให้สอดรับกับการส่งเสริมให้คนไทยหันมาใช้พลังงานทดแทนตามนโยบายอุตสาหกรรม 4.0 ของกระทรวงอุตสาหกรรม
สำหรับคุณสมบัติการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า MG รุ่นนี้ มีความโดดเด่นในด้านคุณภาพ สมรรถนะ ความอัจฉริยะ โดยมีกระบวนการผลิตออกแบบกระจังหน้ารถที่ทันสมัย พร้อมการติดตั้งจุดชาร์จไฟไว้บริเวณหลังกระจังหน้า อีกทั้งระบบปรับอากาศเป็นแบบดิจิตอลที่มาพร้อมระบบกรองอากาศที่สามารถกรองฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ซึ่งช่วยลดมลภาวะทางอากาศได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้มอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ได้รับการพัฒนาให้ส่งกำลังที่สามารถช่วยในเรื่องของมลพิษทางเสียงรบกวนได้อย่างดีเยี่ยม และช่วยระบายความร้อนได้ดียิ่งขึ้น ส่วนแบตเตอรี่เป็นแบบลิเธี่ยมไอออน ความจุ 44.5 kWh ที่ผ่านการรับรองและทดสอบตามมาตรฐานสากลที่สามารถขับวิ่งผ่านระดับน้ำท่วมสูงได้ถึงกว่า 40 เซนติเมตร และระบบการจัดการอุณหภูมิอัจฉริยะซึ่งมีส่วนช่วยให้ระบบการทำงานต่าง ๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้สภาวะแวดล้อมที่มีอุณหภูมิต่ำและสูงที่เป็นไปตามมาตรฐาน NEDC หรือมาตรฐานการทดสอบความประหยัดน้ำมัน และมลพิษของยุโรป
ทั้งนี้ มร. จาง ไห่โป กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และบริษัท เอ็มจี เซลล์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ปัจจุบันเอ็มจีเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยเป็นเวลากว่า 5 ปี และได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากภาครัฐและภาคเอกชนไทย รวมไปถึงกลุ่มลูกค้าคนไทย ทำให้เอ็มจีเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมยานยนต์เพื่อสร้างการเติบโตให้กับภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย โดยทางบริษัท เอ็มจีฯ เล็งเห็นความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม จึงเกิดแนวคิดในการพัฒนารูปแบบรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ในแบบรถยนต์ SUV ซึ่งเป็นระบบการเชื่อมต่ออัจฉริยะ เพื่อให้เป็นไปตามแนวนโยบายของบริษัทฯ ที่มุ่งการพัฒนารถยนต์ซึ่งขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าและเดินหน้าพัฒนารถยนต์สำหรับตลาดสากลต่อไป”
ในส่วนของความสามารถในการชาร์จพลังงานไฟฟ้าระหว่างการขับขี่กลับเข้าที่แบตเตอรี่นั้นสามารถเลือกระดับการชาร์จพลังงานกลับได้ถึง 3 ระดับ และมีระบบควบคุมแบบอิเล็กทรอนิกส์โดยมีพละกำลังสูงสุด 110 กิโลวัตต์ (150 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร จึงสามารถเร่งจาก 0-50 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ด้วยระยะเวลาเพียงแค่ 3.1 วินาที และให้ระยะทางขับเคลื่อนสูงสุด 337 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟฟ้าเต็ม 1 ครั้ง ซึ่งถือว่ารองรับการชาร์จไฟที่ง่ายแก่ผู้ขับขี่ โดยมี 2 รูปแบบ คือ การชาร์จไฟแบบธรรมดาผ่าน MG Home Charger หรือการชาร์จไฟที่บ้านนี้ จะใช้เวลาชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-100% ในระยะเวลาเพียง 6.5% ชั่วโมง ซึ่งการสั่งการในรูปแบบ MG Home Charger นั้น จะช่วยให้ผู้บริโภคประหยัดเงินค่าพลังงานได้มากกว่ารถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันเชื้อเพลิง เพราะรถยนต์พลังงานไฟฟ้า NEW MG ZS EV เป็นระบบขับเคลื่อนที่มาจากแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก จึงทำให้ชิ้นส่วนอะไหล่น้อยลง แต่การดูแลรักษาเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นและประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงอีกด้วย และรูปแบบที่ 2 คือ การชาร์จไฟแบบเร็วผ่านสถานีชาร์จไฟฟ้าสาธารณะ โดยจะใช้เวลาในการชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-80% ในระยะเวลาเพียง 30 นาที
ด้าน พงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ของ MG คันนี้ รองรับระบบการชาร์จด่วนในเวลา 30 นาที และสามารถเคลื่อนที่ได้เป็นระยะทาง 280 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง โดยทางเอ็มจีฯ มีความพร้อมที่จะผนึกกำลังกับทุกภาคส่วนในเรื่องของการตั้งเป้าขยายสถานีชาร์จไฟฟ้าให้ครอบคลุมทุกโชว์รูมทั่วประเทศ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการส่งเสริมให้คนไทยหันมาใช้พลังงานทดแทนตามนโยบายภาครัฐเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานทางเลือกที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อมในทุกมิติให้เกิดการใช้ทรัพยากรที่สามารถใช้ร่วมกันได้ในสังคม”
ขณะเดียวกัน ในส่วนของหน่วยงานภาครัฐอย่างกระทรวงอุตสาหกรรมออกนโนบายกำหนดเป็นมาตรการผลักดันด้านการประหยัดพลังงานในประเทศเพื่อส่งเสริมการลงทุนสำหรับภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยมี ศิริรุจ จุลกะรัตน์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นตัวแทนจากภาครัฐ กล่าวว่า “นโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรมได้สนับสนุนการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามาโดยตลอด เนื่องจากเป็นสิ่งที่ภาครัฐกำหนดทิศทางและขับเคลื่อนปัจจัยที่จะทำให้เกิดอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย เพื่อทำให้เกิดโครงข่ายเชื่อมโยงการใช้ทรัพยากรด้านพลังงานให้น้อยลง ซึ่งจะช่วยในเรื่องของการมีสิ่งแวดล้อมที่ดีในประเทศ รวมถึงการผลักดันทำให้เกิดการลงทุนอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนหรือนวัตกรรมเทคโนโลยีในการรองรับการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอีกทอดหนึ่งด้วย ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและเป็นทางเลือกของประชาชนในฐานะเป็นผู้บริโภคมากขึ้น และจะส่งผลดีต่อภาคเศรษฐกิจโดยรวมในประเทศอีกด้วย”
นอกจากนี้ เอ็มจี ยังได้ลงนามความร่วมมือกับ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เพื่อติดตั้งสถานีชาร์จแบตเตอรี่ หรือ EA Anywhere ให้กับโชว์รูมของเอ็มจี ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ถึง 107 แห่งทั่วประเทศ และกำลังจะขยายเป็น 130 แห่งภายในปี 2562 นี้ อีกทั้งยังได้ลงนามความร่วมมือกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และอยู่ในระหว่างการเจรจากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในการติดตั้งสถานีชาร์จแบตเตอรี่เพื่อลดข้อจำกัดและคลายความกังวลของผู้บริโภคในการที่จะตัดสินใจใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า
อมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในตัวแทนจากภาคเอกชน กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมสถานีชาร์จไฟฟ้าเพื่อรองรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าว่า “บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ฯ ของเราได้ตั้งเป้าหมายในการติดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้าให้ได้ 500 สถานีทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มทยอยติดตั้งสถานีชาร์จแบตเตอรี่ไปแล้วกว่า 200 สถานีชาร์จ โดยราคาค่าชาร์จไฟฟ้ารถยนต์พลังงานไฟฟ้าจะเริ่มคิดค่าใช้จ่ายในราคาเริ่มต้น 50 บาท และขณะเดียวกันทางบริษัทฯ ยังได้พัฒนาแอพพลิเคชั่นขึ้นมาเพื่อใช้เป็นข้อมูลให้แก่ผู้ขับขี่สามารถตรวจเช็คข้อมูลว่ามีสถานีชาร์จแบตเตอรี่อยู่ในพื้นที่บริเวณใดบ้าง ซึ่งผู้ขับขี่จะไม่มีความกังวลใจเลยหากแบตเตอรี่หมดกลางทาง นอกจากนี้เรายังได้พัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับผู้บริโภคสามารถชำระเงินค่าชาร์จไฟฟ้าผ่านบัญชีธนาคารได้อีกทางหนึ่งด้วย เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการใช้บริการ”
Source: นิตยสาร Green Network ฉบับที่ 94 กรกฎาคม-สิงหาคม 2562 คอลัมน์ GREEN Report โดย กองบรรณาธิการ