กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดสัมมนาสร้างโอกาสทางธุรกิจด้วยการออกแบบสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน (Creating Business Opportunities through Circular Economy Design) ย้ำความสำเร็จของโครงการฯ การประยุกต์ใช้หลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ และกระบวนการของสถานประกอบการเพื่อลดใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ณ ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี
ดร.ธีรวุธ ตันนุกิจ ผู้อำนวยการกองนวัตกรรมวัตถุดิบและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กล่าวว่า เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ถือเป็นหนึ่งในนโยบายหลักที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ตามนโยบายโมเดลเศรษฐกิจใหม่ หรือที่เรียกว่า BCG Model โดยมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่จำกัดให้น้อยที่สุดและเกิดประโยชน์สูงสุด เพิ่มสัดส่วนการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนให้มากขึ้น รักษาคุณค่าของทรัพยากรในระบบและหมุนเวียนใช้ให้นานที่สุดและลดการปลดปล่อยของเสียออกจากระบบให้น้อยที่สุด เพื่อก่อให้เกิดรูปแบบการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน
กพร. จึงได้จัดทำโครงการนี้ขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดัน Circular Economy ของประเทศ โดยมี เอ็มเทค เป็นที่ปรึกษาโครงการ ซึ่งเป็นการดำเนินโครงการในปีที่ 3 ภายหลังจากผลการดำเนินโครงการในช่วงปี 2565 – 2566 ที่ผ่านมานั้นประสบผลสำเร็จในการดำเนินงานเป็นอย่างมาก ในการส่งเสริมและพัฒนาให้ผู้ประกอบการนำหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบ (Design for Circular Economy) ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ กระบวนการผลิต การเลือกใช้วัตถุดิบ การใช้งาน การจัดการเมื่อสิ้นอายุการใช้งานหรือไม่ใช้แล้ว ซึ่งรวมถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ง่ายต่อการซ่อมแซม ยืดอายุการใช้งาน หรือรีไซเคิล
“ในปีนี้ผลของการดำเนินโครงการได้ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก และมีตัวอย่างผลสำเร็จที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการและได้รับคำปรึกษาแนะนำเชิงลึกจาก เอ็มเทค จำนวน 3 ราย ได้แก่ บริษัท กรีนสปอต จำกัด, บริษัท ยูเนี่ยนไพโอเนียร์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท คอทโก้ พลาสติกส์ จำกัด เบื้องต้นคาดว่าจะก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจจากต้นทุนที่ลดลงหรือรายได้ที่เพิ่มขึ้น รวมไม่ต่ำกว่า 142.45 ล้านบาทต่อปี และหากมีการนำต้นแบบที่ได้พัฒนาตามแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้ จะสามารถลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ ไม่ต่ำกว่า 880 ตันก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (เทียบเท่า) ต่อปี ยังไม่นับรวมมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นจากการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า การลดปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม และจากผลสำเร็จที่เกิดขึ้นประกอบกับยังมีผู้ประกอบการอีกเป็นจำนวนมากให้ความสนใจ กพร. จึงได้พิจารณาขยายผลการดำเนินโครงการไปสู่ปีที่ 4 ในปีงบประมาณ 2568 เพื่อขยายเครือข่ายผู้ประกอบการที่นำหลักการ Circular Economy ไปประยุกต์ใช้ในการออกแบบ เพื่อร่วมกันสร้างสังคมคาร์บอนต่ำที่มีการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน” ดร.ธีรวุธ กล่าว
ด้านดร.อศิรา เฟื่องฟูชาติ รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กล่าวว่า โครงการนี้เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการผลักดันการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปสู่ Circular Economy ที่มีการหมุนเวียนการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับนโยบายและทิศทางการพัฒนาประเทศของรัฐบาล ถ่ายทอดประสบการณ์การประยุกต์ใช้แนวทาง Design for Circular Economy ของอุตสาหกรรมไทย เพื่อพัฒนาและยกระดับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมให้มีการประยุกต์หลักคิด Circular Economy ในการออกแบบ โดยเอ็มเทค ได้ใช้ความเชี่ยวชาญด้านวัสดุศาสตร์ของกลุ่มวิจัย ผนวกกับการใช้กลไกเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการของเอ็มเทคที่มีอยู่ทั้งในและต่างประเทศ เป็นพี่เลี้ยงให้แก่ผู้ประกอบการ โดยถ่ายทอดข้อมูลและความรู้ที่ถูกต้องในรูปแบบการให้คำปรึกษาแนะนำเชิงลึกผ่านการจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ เพื่อการปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ กระบวนการผลิต การเลือกใช้วัตถุดิบ การใช้งาน การจัดการเมื่อสิ้นอายุการใช้งานหรือไม่ใช้แล้ว ตามหลักคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน
สำหรับความสำเร็จของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ อย่างบริษัท คอทโก้ พลาสติกส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์หนังเทียม และแผ่นพลาสติกพีวีซี ชั้นนำ ทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยบริษัทฯ ได้วิจัยพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ เหมาะกับการใช้งานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งบริษัทฯ ได้ร่วมเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการต้นแบบของโครงการฯ เพื่อพัฒนาหนังเทียมพีวีซีคุณภาพสูงที่ปราศจากสารอันตราย เพื่อรองรับกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย และมาตรการของประเทศที่บังคับไม่ให้มีสาร Phthalate และ CPs และสามารถเข้าสู่กระบวนการหมุนเวียนเป็น “วัสดุรอบสอง (Secondary Materials) ได้อย่างปลอดภัย โดยทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. และบริษัทฯ ร่วมมือพัฒนาหนังเทียมพีวีซีสูตรใหม่ที่ปลอดสารอันตรายอย่าง Phthalate และ Chlorinated Paraffins ซึ่งผ่านการทดสอบการลามไฟและมีสมบัติเชิงกลใกล้เคียงกับสูตรเดิม หนังเทียมสูตรใหม่นี้สามารถใช้ทดแทนสูตรเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ สะท้อนถึงการสร้างและคงคุณค่าของทรัพยากรหมุนเวียน ตั้งแต่กระบวนการผลิตต้นทางไปจนถึงการใช้ประโยชน์สูงสุด ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนและเป้าหมายการพัฒนาประเทศสู่ความยั่งยืน
ด้านบริษัท ยูเนี่ยนไพโอเนียร์ จำกัด (มหาชน) ต้นแบบผลสำเร็จการจัดการน้ำเหลือทิ้งและน้ำเสียที่เกิดจากจากกระบวนการย้อม ซึ่งส่งผลให้เกิดการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการบำบัด ด้วยการพัฒนากระบวนการย้อมเพื่อลดปริมาณน้ำเหลือทิ้ง และเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการย้อม โดยการหาความสามารถในการดูดซึมน้ำสีย้อม (%Wet pick-up) ของแถบยางยืดเพื่อปรับปริมาณน้ำสีให้สอดคล้องกับความสามารถในการดูดซึมน้ำสีย้อมของผ้าแถบยางยืดแต่ละชนิดและเพิ่มประสิทธิภาพการติดสีของผ้าแถบยางยืด ผ่านการเพิ่มอุณหภูมิของน้ำสีย้อมก่อนเข้าสู่อ่างย้อมในขั้นการจุ่มอัด ผลจากการดำเนินการดังกล่าว ทำให้มีน้ำเสียเหลือน้อยลง 90% หลังการย้อม สำหรับการย้อมแถบยางยืดในต้นแบบที่ศึกษา ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการบำบัดลดน้อยลง และเพิ่มประสิทธิภาพการย้อมโดยไม่ต้องทำซ้ำ ทั้งยังช่วยประหยัดเวลา ทรัพยากร และต้นทุน
อีกหนึ่งบริษัทต้นแบบผลสำเร็จ อย่างบริษัท กรีนสปอต จำกัด ที่ได้ออกแบบการจัดการ Circular Performance ด้วย Circular Indicator เพื่อลดการใช้ทรัพยากรและเพิ่มมูลค่าผลพลอยได้จากกระบวนการผลิต โดยสามารถลดการใช้พลังงานไฟฟ้า 6% พลังงานความร้อน 8% การใช้น้ำ 6% และช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ถึง 23 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้นำกากถั่วเหลืองที่มีโปรตีนและใยอาหาร (Dietary Fiber) มาพัฒนาเป็น Soy Fiber ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชันสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารหลายชนิด เช่น เนื้อสัตว์เทียมจากโปรตีนพืช ที่มีคุณค่าทางโภชนาการและมูลค่าสูงกว่าการขายเป็นอาหารสัตว์