ปัจจุบัน สถานการณ์โลกร้อนได้ก้าวเข้าสู่สภาวะโลกเดือดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งสภาวะนี้ได้นำไปสู่การเกิดเหตุการณ์อันเป็นผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการดำรงชีวิตของมนุษย์มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงรายงานกว่าหลายพันฉบับจากนักวิทยาศาสตร์ ล้วนชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า ขณะนี้มนุษยชาติกำลังเผชิญกับสภาพอากาศสุดขั้วและทำลายสถิติมากมายในประวัติศาสตร์ของเรา และภัยพิบัติทางธรรมชาตินี้ผลักดันให้หลายประเทศทั่วโลกเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบมากมาย เพื่อลดแรงกระแทกของผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
แรงกระเพื่อมที่สำคัญเหล่านี้ทำให้ประชาชนทั่วโลกตระหนักถึงความสำคัญของการเริ่มหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ปี 2020 หลังจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทุกคนใส่ใจกับค่านิยม ESG หรือค่านิยมด้านความยั่งยืน และได้ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนสังคมให้เข้าสู่การเป็น ‘Zero Carbon’ หรือการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ โดยไม่เพียงแต่ภาคประชาชนเท่านั้นที่ต้องเริ่มปรับ แต่รวมไปถึงภาครัฐบาลและภาคธุรกิจด้วย ซึ่งหลายภาคส่วนเองก็ได้เริ่มลงมือปฏิบัติกันมานานแล้ว โดยหนึ่งในแบรนด์ที่ได้ปรับให้ผลิตภัณฑ์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในทุกกระบวนการผลิตและส่วนประกอบ คือ ‘O’right’ แบรนด์ผลิตภัณฑ์ความงามจากไต้หวัน
O’right เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและความงามจากไต้หวันที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2002 ก่อตั้งโดย ‘Steven Ko’ ผู้มีความตั้งใจเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ของใช้ในชีวิตประจำวันให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อมุ่งสู่การลดลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ เพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่โลกกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน
“All brands will go green just a matter of time” Steven Ko กล่าวไว้เมื่อปี 2006 ด้วยความตั้งใจที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมอย่าง O’right ให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพของผู้คน และดีต่อสุขภาพของโลก ด้วยการผลิตแชมพูที่ปราศจากสารเคมี โดยปณิธานนี้สะท้อนผ่านโลโก้ของแบรนด์ ที่ตัว ‘O’ มีสีเขียว ที่แสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้างผลิตภัณฑ์ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และคำว่า ‘right’ สื่อถึงการอุทิศตนในการทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อโลก และเมื่ออ่านพร้อมกันจะทำให้ได้ 2 ความหมาย คือ ‘All Right’ และ ‘Zero Right’ ซึ่งเป็นการเน้นย้ำอีกทางหนึ่งว่าแบรนด์จะก้าวขึ้นสู่การเป็น Zero Carbon
ในปี 2011 O’right ได้รับการรับรองว่าเป็นแบรนด์ความงามแบรนด์แรกที่เป็น Zero Carbon โดย SGS (General Society of Surveillance) ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการทดสอบคุณภาพและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ โดยเทียบกับมาตรฐานด้านสุขอนามัย ความปลอดภัย และข้อบังคับต่าง ๆ ตามข้อกำหนดจากรัฐบาล รวมถึงการได้รับเชิญเข้าร่วมงาน UN 2021 World Biodiversity Summit (COP15) และได้รับการประกาศให้เป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการสำหรับการประชุมสุดยอด UN 2021 World Climate Summit (COP26) และการบรรลุมาตรฐานคาร์บอนเป็นศูนย์สำหรับผลิตภัณฑ์ 9 รายการในปีถัด ๆ มา ในเวลาต่อมา
แนวคิดของ O’right นอกจากจะเป็นผลิตภัณฑ์รักษ์โลกแล้ว ยังใช้วัตถุดิบออแกนิคและวีแกนทั้งหมด ปราศจากกลูเตนซึ่งเป็นสารก่อภูมิแพ้ทั่วไป และไม่ได้มาจากพืช GMO หรือสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมด้วย โดยจุดเริ่มต้นมาจากสโลแกนแรกของแบรนด์ “เราคือผู้ผลิตแชมพู” ซึ่งหากมองให้แง่การทำธุรกิจ คนส่วนใหญ่อาจจะมองเพียงต้นทุนและกำไร แต่สำหรับ O’right ไม่หยุดเพียงเท่านี้ ด้วยความต้องการที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าสู่สังคมและสิ่งแวดล้อม ทำให้ทิศทางการทำธุรกิจหันมาใส่ใจความยั่งยืนมากขึ้น
เมื่อพูดถึงการขายสินค้า มักจะมีพรีเซ็นเตอร์เป็นตัวแทนภาพลักษณ์ของแบรนด์ แต่เนื่องด้วยทรัพยากรที่จำกัดของแบรนด์ O’right จึงเลือกที่จะลงทุนไปกับการวิจัยและการออกแบบผลิตภัณฑ์ เพื่อปรับส่วนผสมให้ใช้สารสกัดจากธรรมชาติม โดยส่วนใหญ่สีของแชมพู เรามักจะเห็นว่าเนื้อของแชมพูมีสีที่เหมือนกับกลิ่นของแชมพู เช่น แชมพูกลิ่นลาเวนเดอร์มีสีม่วง แชมพูกลิ่นสตรอว์เบอร์รี่มีสีชมพู แชมพูกลิ่นพีชมีสีพีช ซึ่งสีเหล่านี้เป็นสีสังเคราะห์ทั้งสิ้น เพราะในความจริงแล้วส่วนผสมจากสารที่สกัดจากธรรมชาติมักจะไม่มีสี
อีกทั้ง กว่า 90% ของการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตแชมพู มาจากการใช้ของผู้บริโภค โดยมาจากการที่ผู้บริโภคต้องใช้น้ำในการล้างผมและล้างแชมพูออกจากผม และลูกค้าส่วนใหญ่มักจะใช้น้ำอุ่นในการสระผม
ดังนั้นตามจุดประสงค์คือต้องการยุติการพึ่งพาทรัพยากรปิโตรเคมี จึงได้ปรับสูตรส่วนผสมของแชมพูเพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและเพื่อสุขภาพของลูกค้า เพื่อประหยัดน้ำประหยัดไฟมากขึ้น และให้ผู้บริโภคสระผมได้ง่ายมากขึ้น และได้ร่วมกับ 5 องค์กรวิจัยในไต้หวัน เพื่อค้นหาสูตรที่ผสมผสานส่วนผสมจากพืชในธรรมชาติเข้ากับเทคโนโลยีที่เป็นกรรมสิทธิ์เฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์ความงามของ O’right ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด โดยไม่ทดสอบผลิตภัณฑ์กับสัตว์ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ทุกคนว่าผลิตภัณฑ์จะมีความอ่อนโยนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา O’right ได้เปิดเผยส่วนผสมในผลิตภัณฑ์แต่ละอย่างจนครบถ้วน จนได้รับการรับรองจาก USDA (United States Department of Agriculture) ว่าช่วยลดการใช้ปิโตรเลียมโดยเพิ่มการใช้ทรัพยากรหมุนเวียน และลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มเติมที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศได้จริง
อีกทั้งยังให้การสนับสนุนเกษตรกรท้องถิ่นผ่านการรับซื้อผลผลิตที่เหลือทิ้งอย่าง แกลบเมล็ดกาแฟ มาผลิตให้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ “O’right Caffeine Botanical Scalp Revitalizer” ผลิตภัณฑ์ดูแลหนังศีรษะ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นแบรนด์ที่ทั้งใส่ใจโลก ใส่ใจผู้บริโภค และยังใส่ใจเกษตรกรอีกด้วย
นอกจากผลผลิตจากกาแฟอย่างเซรั่มหนังศีรษะแล้ว ส่วนประกอบจากเมล็ดกาแฟยังถูกนำไปผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์แชมพูของแบรนด์ โดยนำไปผสมกับวัสดุที่ผลิตจากเศษผัก ผลไม้ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้เป็นพลาสติก PCR (Post-consumer Recycled) ทุกชิ้น และออกแบบอย่างมีเอกลักษณ์ โดยขวดพลาสติกชนิดนี้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้หลังการบริโภค และย่อยสลายได้ 100% ตามธรรมชาติ เมื่อถูกฝังลงดินเป็นระยะเวลา 1 ปี และขวดของผลิตภัณฑ์อื่นยังได้ถูกผลิตขึ้นจากการรีไซเคิลขวดพลาสติก โดยสร้างเม็ดเหล่านี้ขึ้นมาใหม่ และนำไปผลิตเป็นขวดบรรจุภัณฑ์ต่อไป
“แชมพูจึงไม่เพียงแต่ทำความสะอาดเส้นผมเท่านั้น แต่ยังทำความสะอาดหัวใจและจิตใจอีกด้วย” Steven Ko กล่าว
โดย Steven Ko ยังได้เล่าถึงผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอย่างยาสีฟันเพิ่มเติมว่า O’right ได้คิดค้นยาสีฟันออแกนิค โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้บริษัทยาสีฟันอื่น ๆ ลดการใส่สารเคมีในยาสีฟันและเป้าหมายที่สองคือเรียกร้องให้รัฐบาลเพิ่มการควบคุมส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ยาสีฟัน เนื่องจากในปัจจุบันมากกว่า 90% ของยาสีฟันในโลกมีสารกันบูดที่มีความเสี่ยงสูงที่จะก่อให้เกิดมะเร็ง
ความตั้งใจของ O’right กว่าหลายสิบปีที่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนความยั่งยืนให้แก่ชีวิตของผู้บริโภคและแก่โลก โดยได้สร้างอาคารและโรงงานเพื่อความยั่งยืน จนได้รับการรับรองจากรัฐบาลแห่งแรกในไต้หวันให้เป็นโรงงานเครื่องสำอางสีเขียว ซึ่งไม่ใช่แค่อาคารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกระบวนการผลิตทั้งหมดด้วย ด้วยแผงโซลาร์เซลล์และกังหันลมที่ผลิตเอง และอีก 80% ที่ซื้อจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ทำให้บรรลุการใช้พลังงานหมุนเวียน 100% และโรงงานของ O’right มีการปล่อยน้ำเสียเป็นศูนย์ ซึ่งหมายความว่าน้ำเสียที่ผ่านการแปรรูปทั้งหมดนั้นถูกนำไปใช้ในการเลี้ยงต้นไม้สีเขียวด้านนอกอาคารที่ถูกปลูกไว้จำนวนมากด้วยระบบชลประทานน้ำเสียบริสุทธิ์ และ O’right ยังติดตั้งแท่นชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้พนักงานได้ใช้ฟรี เพื่อเป็นการกระตุ้นในพนักงานหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นอีกด้วย
ปัจจุบัน O’right ยังคงมุ่งมั่นคิดค้นและผลิตสินค้าเพื่อผู้บริโภคและเพื่อโลกใบนี้อย่างสม่ำเสมอ และเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ได้ทำหน้าที่สื่อสารให้ผู้บริโภคได้เข้าใจถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อเกิดความตระหนักรู้ให้ผู้บริโภคได้หันมาใส่ใจและให้ความร่วมมือในการรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้นต่อไปในอนาคต