ช่วงนี้มีข่าวโด่งดังที่มีผู้ใหญ่ในคณะรัฐบาลได้นำเอาข้าวที่เก็บอยู่ในโกดังมานานกว่า 10 ปี แล้วมาซาวน้ำหุงให้สุกและรับประทานโชว์สื่อมวลชนและออกข่าวประชาสัมพันธ์กับประชาชนทั่วไปว่า “ข้าวที่เก็บอยู่กว่า 10 ปี แล้วยังรับประทานได้” มีแนวคิดที่จะนำข้าวเหล่านั้นมาปรับปรุงใหม่เพื่อนำไปจำหน่ายหรือนำไปรับประทาน โดยวางแผนจะนำข้าวนั้นมาขายและส่งจำหน่ายไปประเทศในแอฟริกา และนำไปให้ทหารเกณฑ์รับประทานยังค่ายทหารต่างจังหวัด โดยเฉพาะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นข่าวโด่งดังไปทั่วและชักไม่มั่นใจต่อผู้บริโภคว่าข้าวที่เก็บอยู่ในโกดังนานกว่า 10 ปี แล้วยังรับประทานได้หรือไม่ มีผลดี ผลเสียต่อร่างกายหรือไม่ โดยปกติข้าวที่ปลูกมารับประทานเป็นอาหารมีข้อที่ต้องสังเกตและคิดว่าควรรับประทานหรือไม่อยู่ 2 ประการ
ประการที่ 1 ข้าวที่ปลูกและเก็บเกี่ยวมาผ่านการสีเป็นเมล็ดข้าว ย่อมจะให้คุณค่าทางอาหารและโภชนาการอยู่ 3 ส่วนหลักๆ 1.1 คาร์โบไฮเดรด คือส่วนที่เป็นแป้ง ให้คุณค่าทางพลังงาน เรี่ยวแรงของร่างกาย 1.2 โปรตีน ส่วนที่เป็นประโยชน์ในการเสริมสร้างกาย แข็งแรง สร้างระบบเลือด การไหลเวียนโลหิต การสร้างระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ฯลฯ 1.3 ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ ในข้าวมีส่วนประกอบของไขมัน วิตามินและเกลือแร่ ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อด้านการเจริญเติบโตของร่างกาย
ประการที่ 2 เมื่อข้าวถูกเก็บมานานกว่า 10 ปี สารอาหารที่มีประโยชน์ในข้าวย่อมจะเสื่อมสลายหายไป จากสภาพอากาศที่ร้อนชื้น หนาวเย็น ฝนตก ฯลฯ คุณค่าทางอาหารในข้าวย่อมเสื่อมสลายไปจนไม่เหลือประโยชน์ที่จะไปรับประทานให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย การเปลี่ยนแปลงของเมล็ดข้าวอาจเปลี่ยนเป็นสารพิษที่ทำร้ายและเป็นอันตรายต่อร่างกาย ทั้งในเรื่องรสชาติ กลิ่น รวมถึงแมลงต่างๆที่ฟักตัวในเมล็ดข้าว นอกจากตัวมอด แมลงต่างๆ ฝุ่นละอองหรือขี้ฝุ่นมาผสมในเมล็ดข้าวรวมถึงสารพัดเชื้อโรค ทั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อไวรัส แมลงสาบ ยุง แมงมุม ฯลฯ สารพิษทางเคมีที่เปลี่ยนแปลงเป็นปฏิกิริยาที่เป็นผลเสียในข้าว รวมถึงเชื้อรา อะฟลาท็อกซิน สารก่อมะเร็งในร่างกาย สารพิษที่เกิดขึ้นในข้าวมีมากมาย
ดังนั้นข้าวที่เก็บมาแล้ว 10 ปี ย่อมมีอันตรายต่อสุขภาพร่างกายในวงกว้างและความเชื่อมั่นในคุณภาพข้าวและความสะอาดในข้าว ไม่น่าจะเป็นผลดีต่อสุขภาพร่างกายอย่างแน่นอน
ข้าวที่เก็บมา 10 ปี แล้วท่านกล้าที่จะรับประทานไหม ??
ที่มา: หมอโฆษิต