1 ปี “สระบุรีแซนด์บ็อกซ์” ชูโมเดลเมืองคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย ความสำเร็จเบื้องต้นของจ.สระบุรี ภายใต้การรวมพลังกับ TCMA


TCMA ระดมทัพผู้ผลิตปูนซีเมนต์ ผนึกกำลังจังหวัดสระบุรี หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม โชว์ความก้าวหน้า 1 ปี “สระบุรีแซนด์บ็อกซ์” รวมพลังสร้างเมืองคาร์บอนต่ำแห่งแรกของประเทศไทย พร้อมขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด การส่งเสริมอุตสาหกรรมสีเขียว การสร้างมูลค่าเพิ่มจากคาร์บอน ด้วยแรงหนุนจากภาคีพันธมิตร เชื่อมโยงความร่วมมือต่างประเทศด้านเทคโนโลยี และแหล่งทุนสีเขียว สู่เป้าหมายเมืองคาร์บอนต่ำ 

สระบุรีแซนด์บ็อกซ์ ชูโมเดลเมืองคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย

“สระบุรีแซนด์บ็อกซ์” เป็นการทำงานเชิงพื้นที่  ภายใต้ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม (Public-Private-People Partnership: PPP) นำโดยผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี มี 3 ภาคีหลัก-จังหวัดสระบุรี สมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย (TCMA) และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสระบุรี ร่วมกันขับเคลื่อนพัฒนาจังหวัดสระบุรีสู่เมืองคาร์บอนตํ่า “SARABURI SANDBOX LOW CARBON CITY” เชื่อมโยงความร่วมมือองค์กรหลายภาคส่วน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผ่านโครงการต้นแบบ

นับตั้งแต่มีการประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2566  จนถึงปัจจุบัน การขับเคลื่อนตลอดระยะกว่าหนึ่งปี นำมาซึ่งความก้าวหน้าตามลำดับ และยังคงมีเป้าหมายที่ต้องเดินหน้ากันต่อใน 5 ด้านหลัก ได้แก่ 1. การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด 2. การผลักดันอุตสาหกรรมสีเขียว 3. การสร้างมูลค่าให้วัสดุเหลือใช้ 4. การส่งเสริมด้านเกษตรกรรมคาร์บอนต่ำ และ 5. การเพิ่มพื้นที่สีเขียว ด้วยความร่วมมือสนับสนุนจากภาครัฐ ภาคเอกชน  ภาคประชาสังคม และแสวงหาแหล่งทุนสีเขียว เพื่อจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซต์เทียบเท่าภายในปี พ.ศ. 2570

สระบุรีแซนด์บ็อกซ์ ชูโมเดลเมืองคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย

เมื่อเร็วๆนี้ จังหวัดสระบุรี ร่วมกับ  สมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย (TCMA)  และภาคีเครือข่ายจัดงาน “สระบุรีแซนด์บ็อกซ์ รวมพลังสร้างเมืองคาร์บอนต่ำแห่งแรกของประเทศไทย” ณ อาคารรณนภากาศ โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เพื่อสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน การร่วมกันถอดบทเรียน 1 ปีที่ผ่านมา และการระดมความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อนำมาวางแผนเดินหน้าระยะต่อไปให้บรรลุเป้าหมายสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ มีผู้เข้าร่วมงานจากภาคส่วนต่างๆ กว่า 700 คน

บัญชา เชาวรินทร์

บัญชา เชาวรินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี เปิดเผยว่า “สระบุรีแซนด์บ็อกซ์” เป็นความร่วมมือขับเคลื่อนการทำงานจากหลายภาคส่วน มีหลักสำคัญในการทำงานร่วมกัน 4 ข้อ ได้แก่ 1. ทำทันที  2. ไม่มีอะไรถูก ไม่มีอะไรผิด สามารถปรับการทำงานได้ตลอดเวลา 3. เห็นต่างได้ แต่ห้ามขัดแย้ง หาข้อสรุปและแนวทางที่เหมาะสมร่วมกัน 4. ยิ้ม เพื่อเกิดความสนุกในการทำงานร่วมกัน โดยจังหวัดสระบุรีพร้อมเป็นจังหวัดนำร่องในการทดลองใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม หรือเป็นพื้นที่ในการศึกษาวิจัยของหน่วยงานต่างๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อนำองค์ความรู้ที่ได้จากการทดลองมาปรับใช้ในพื้นที่ และขยายผลไปยังพื้นที่จังหวัดอื่นๆ เพื่อให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคตอันใกล้ รวมถึงประชาชนและชุมชนในพื้นที่จังหวัดสระบุรี จะต้องได้รับประโยชน์ มีกิน มีใช้ มีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ทั้งนี้ จังหวัดสระบุรีได้ทำงานร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ซึ่งมีงบประมาณในการทำวิจัยจำนวนมาก เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประชาชน ซึ่งก็คือ P (People)  การดึงเงินจากการวิจัยมาลงพื้นที่ได้ ถือว่าเป็นความสำเร็จ

“สำหรับงานที่จัดขึ้นในวันนี้คือ ชี้แจงในรอบ 1 ปีให้ประชาคมเข้าใจ  พอขับเคลื่อนไประดับหนึ่งต้องรายงานให้ประชาคมทราบว่า สระบุรีแซนด์บ็อกซ์  หรือสังคมคาร์บอนต่ำคืออะไร โดยมีกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วม ไม่เฉพาะประชาคมในสระบุรีเท่านั้น แต่ยังมีภาคีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง  สิ่งหนึ่งพิสูจน์ว่าสำคัญที่สุดจากโครงการสระบุรีแซนด์บ็อกซ์   คือ ความร่วมมือในการทำงาน  การมีส่วนร่วมของประชาชน ทดลองรูปแบบหลักการบริหารงานและต่อยอดจนเกิดผลสำเร็จ” ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี กล่าว

ส่วนการดำเนินงานในระยะต่อไปจะสำเร็จลุล่วงได้ ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากได้รับการสนับสนุนด้านนโยบายจากภาครัฐ ที่จะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งหากทุกภาคส่วนมีเป้าหมาย และหลักในการทำงานร่วมกัน จะช่วยให้สระบุรีแซนด์บ็อกซ์ เกิดผลสัมฤทธิ์ในการทำงาน และสามารถเป็นต้นแบบให้จังหวัดและหน่วยงานอื่นๆ นำไปเป็นแนวทางในการทำงานในพื้นที่ได้ในอนาคต รวมทั้งสามารถตอบสนองแผนงานลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศได้ตามเป้าหมาย

ดร.ชนะ ภูมี

ด้าน ดร.ชนะ ภูมี นายกสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย (TCMA) และรองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า TCMA เป็นความร่วมมือของผู้ผลิตปูนซีเมนต์ชั้นนำของประเทศไทย และเป็นอุตสาหกรรมภาคการผลิตหลักของจังหวัดสระบุรี  ซึ่งมีส่วนสนับสนุนสำคัญต่อการดำเนินงานสระบุรีแซนด์บ็อกซ์  ทั้งนี้ TCMA อยู่ระหว่างการเดินหน้านำอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์สู่การปลดปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ในปี พ.ศ. 2593 ตามแผนที่นำทาง Thailand 2050 Net Zero Cement and Concrete Roadmap 2050 นับเป็นอุตสาหกรรม Sectorเดียวในไทยที่มี Roadmap   จึงมีความตั้งใจ และมีความพร้อมในการร่วมลงมือทำให้สระบุรีแซนด์บ็อกซ์ เมืองคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทยนี้ให้เกิดขึ้น  โดยขับเคลื่อนในหลายๆ ด้าน ทั้งในส่วนของกระบวนการผลิตของอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ การสนับสนุนความร่วมมือภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และการเชื่อมโยงความร่วมมือกับหน่วยงานต่างประเทศ เพื่อแสวงหาแหล่งทุนสีเขียว (Green Fund) เข้ามาสนับสนุนการดำเนินงาน

สระบุรีแซนด์บ็อกซ์

ในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนสระบุรีแซนด์บ็อกซ์อย่างต่อเนื่อง ครอบคลุม 1.ด้านกระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ (Industrial Process and Product Use: IPPU) การวิจัยพัฒนาใช้วัสดุทดแทนปูนเม็ดเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต และการใช้นาโนเทคโนโลยีเพื่อให้ปูนซีเมนต์มีคุณสมบัติดีขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งการพัฒนาความรู้ การปรับเปลี่ยนเครื่องจักร การส่งเสริมการลงทุน รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนข้อกำหนด มาตรฐานการใช้งานของแต่ละหน่วยงานให้สอดคล้องกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และการส่งเสริมใช้งานปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกแทนปูนซีเมนต์ชนิดเดิม ทำให้ระหว่างปี พ.ศ. 2566-2567 สามารถช่วยลดคาร์บอนได้กว่า 1 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ 2.การยกระดับพัฒนาเหมืองแร่สีเขียว โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย (Green and Smart Mining) เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ควบคู่กับการบริหารจัดการพัฒนาพื้นที่ เพื่อดูแลสิ่งแวดล้อมและชุมชนใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน (Land Rehabilitation Featured in Sustainability) 3.การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ด้วยการนำความร้อนเหลือทิ้งกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่เพื่อผลิตไฟฟ้า (Waste Heat Recovery: WHR)  การเพิ่มการใช้พลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ การใช้เชื้อเพลิงชีวมวล (Biomass) และเชื้อเพลิงขยะ (Refuse Derived Fuel: RDF) ทดแทนถ่านหิน ด้วยกระบวนการเผาร่วมในเตาเผาปูนซีเมนต์ (Co-Processing in Cement Kiln) สามารถช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ประมาณ 9 – 12 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี และลดการเกิดฝุ่น PM 2.5 จากการเผาของภาคเกษตร และช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร รวมทั้งทำให้การจัดการขยะของจังหวัดสระบุรีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การฝังกลบเป็นศูนย์ (Zero Landfill)  4. การสร้างมูลค่าเพิ่มจากคาร์บอน ด้วยการวิจัยใช้ประโยชน์จากคาร์บอน (Carbon Utilization) เช่น เมทานอล  นอกจากนี้ สระบุรีแซนด์บ็อกซ์ยังเป็นคลัสเตอร์กลุ่มอุตสาหกรรมแรกของไทย ที่ได้รับตอบรับเข้าร่วมโครงการ Transitioning Industrial Clusters ขององค์กรระดับโลก World Economic Forum ด้วย

สระบุรีแซนด์บ็อกซ์
เครือข่ายศูนย์บ่มเพาะเกษตรกรรุ่นใหม่ จังหวัดสระบุรีทำการเกษตรและธุรกิจเกษตรผสมผสาน

“แม้ปัจจุบันการร่วมกันขับเคลื่อนโครงการสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ มีความคืบหน้าไปมากจากจุดเริ่มต้น อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ ให้ไปสู่เป้าหมายการเป็นเมืองคาร์บอนต่ำได้สำเร็จนั้น ต้องใช้นวัตกรรมและรูปแบบการทำงานข้ามภาคส่วน ความเข้มแข็งของเจ้าของพื้นที่ และผู้นำของแต่ละภาคส่วนที่มีบทบาทแตกต่างกัน รวมทั้งการขอรับการสนับสนุนจากระดับนานาชาติที่มากพอให้เกิดการสร้างความเปลี่ยนแปลง และเพิ่มโอกาสของการได้รับการสนับสนุน การเดินหน้าต่อจากนี้ ยังคงต้องการแรงสนับสนุนอีกมาก ทั้งความร่วมมือจากหลายส่วนงานในประเทศ และเชื่อมโยงความร่วมมือกับหน่วยงานระหว่างประเทศ อาทิ Global Cement and Concrete Association (GCCA), United Nations Industrial Development Organization (UNIDO), GIZ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน หรือหน่วยงานระหว่างประเทศอื่นๆ ที่พร้อมเข้ามาร่วมสนับสนุนดำเนินงาน ทั้งด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) และ Carbon Capture, Utilization and Storage (CCUS) ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ของประเทศ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับความร่วมจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายของภาครัฐ รวมถึงการสนับสนุนข้อมูล เทคโนโลยี และแหล่งทุนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้สามารถเกิดขึ้นได้” นายกสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย  กล่าว

นโยบาย Trump2.0

สำหรับนโยบาย Trump2.0 ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่ส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรม ได้แก่ 1. ถอนตัวจากการเป็นสมาชิกของความตกลงปารีส (Paris Agreement)  2. National Energy Emergency เพิ่มการขุดเจาะหาแหล่งน้ำมันดิบ  พร้อมลดต้นทุนพลังงานในประเทศ ทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และไฟฟ้าในประเทศ และ3. เร่งขยาย Data Center  ให้มีต้นทุนที่ต่ำลง ด้วยการลดราคาพลังงานในประเทศ

“นอกจากอุตสาหกรรมซีเมนต์ ซึ่งมีความเข้มแข็ง ยังมีอุตสาหกรรมพลังงาน และแปรรูปอาหารที่ร่วมโครงการสระบุรีแซนด์บ็อกซ์  โดยในแต่ละปีจะเก็บภาพรวมการลดคาร์บอนในแต่ละคลัสเตอร์ ถึงแม้ไม่มีภาคอุตสาหกรรม จังหวัดสระบุรีทำพื้นที่สีเขียว และคาร์บอนต่ำอยู่ที่บริบทของจังหวัดว่าจะหยิบอะไรบ้าง เนื่องจากสระบุรีแซนด์บ็อกซ์เป็นเรื่องใหม่ของราชการ เราต้องมาดูว่าหัวหอกทะลวงฟัน คือ ใครที่เข้มแข็งในพื้นที่ คือ  ภาคอุตสาหกรรม ดังนั้นจึงต้องใช้ภาคอุตสาหกรรมเป็นตัวทะลวง  และภาคอื่นๆ จะตามมา งานนี้ยากในตัว C แรก คือ  Consistency คือ ทำอย่างไรให้สอดคล้องและไปด้วยกันภายใต้ความสามัคคี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ หากเดินตามนี้ได้ ส่วนใหญ่การสื่อสารตามมา และความร่วมมือจะตามมาในที่สุด”  ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี กล่าวทิ้งท้าย


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เอง โดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save