กรุงเทพฯ : สถาบันนโยบายสาธารณะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) และมหาวิทยาลัยรังสิต ร่วมจัดทำรายงานใหม่ล่าสุด เปิดเผยถึงโอกาสสำคัญที่ประเทศไทยจะสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคในการเคลื่อนไหวและกฎหมายสิทธิในการซ่อม “อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์” (Right to Repair – R2R)
แนวคิด R2R คือ การที่ผู้บริโภคควรมีสิทธิในการซ่อมผลิตภัณฑ์ของตนเอง โดยสามารถเข้าถึงอะไหล่ เครื่องมือ และคู่มือการซ่อมได้ ตั้งแต่เครื่องจักรกลการเกษตร ยานยนต์ ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งปัจจุบันผู้ผลิตหลายรายได้กำหนดข้อจำกัดทั้งทางกายภาพ กฎหมาย และดิจิทัล เพื่อปิดกั้นการซ่อมโดยอิสระ R2R จึงมีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองสิทธิด้านการซ่อม พร้อมทั้งลดข้อจำกัดด้านซอฟต์แวร์ที่จะช่วยป้องกันไม่ให้อะไหล่ทดแทนใช้งานได้ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘Parts Pairing’ หรือ การจับคู่ชิ้นส่วน ที่ส่งผลให้ค่าซ่อมเพิ่มขึ้นอย่างมาก
การขาดทางเลือกของผู้บริโภค ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เป็นแรงผลักดันสำคัญให้ R2R เรียกร้องให้ผลิตภัณฑ์สามารถซ่อมได้ง่ายขึ้น เพื่อให้สิทธิและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากขึ้นแก่ผู้บริโภค หลายรัฐในสหรัฐอเมริกาได้ผ่านกฎหมายดังกล่าวแล้ว และปัจจุบันมีอีก 30 รัฐที่กำลังพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว ขณะที่สหภาพยุโรปได้ประกาศใช้กฎหมาย R2R ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 ซึ่งห้ามผู้ผลิตกำหนดข้อจำกัดในการซ่อม และบังคับให้ผู้ผลิตต้องจัดหาอะไหล่และเครื่องมือในราคาที่สมเหตุสมผล

มร.เอ็ดเวิร์ด แรตคลิฟฟ์ กรรมการบริหาร สถาบันนโยบายสาธารณะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า เหตุผลในการเลือกเปิดโครงการในไทย ซึ่งปัจจุบันไม่เฉพาะประเทศไทย ทั่วโลกควรมีโครงการนี้ด้วย เหตุผลสำคัญ 3 ประการคือ 1. ปัญหาสิ่งแวดล้อม เนื่องจากประเทศไทยเป็นตลาดอิเล็กทรอนิกส์ใหญ่และมียอดจำหน่ายสมาร์ทโฟนถึง 14 ล้านเครื่องในปี 2566 คาดว่าอัตราการใช้สมาร์ทโฟนจะสูงถึง 97% ภายในปี 2572 โดยพบว่าไทยมีขยะอิเล็กทรอนิกส์คิดเป็น 65% ของขยะอันตรายจากชุมชน ซึ่งมีปริมาณสูงถึง 450,000 ตันต่อปี ขยะจากโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ต คิดเป็นประมาณ 25,200 ตัน แต่มีเพียง 21% เท่านั้นที่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะหลังจากที่จีนสั่งห้ามนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ในปี 2560 ทำให้ปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์นำเข้าในไทยเพิ่มขึ้นถึง 20 เท่า โดยในปี 2564 ไทยนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์มากกว่า 28 ล้านตัน ทำให้เป็นประเทศที่เหมาะสมสำหรับการออกกฎหมาย R2R ที่ก้าวหน้า
2.เพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคในปัจจุบัน ที่ทั่วโลกประสบปัญหาเงินเฟ้อ การทำให้อุปกรณ์ใช้งานได้นานขึ้น ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระดับโลก 25% และ3.เศรษฐกิจในประเทศ งานวิจัยในภาคส่วนต่างๆ พบว่ามี SMEรายย่อยจำนวนมาก แต่ประสบปัญหาในการซ่อม
รายงานฉบับนี้ได้เสนอข้อแนะนำสำคัญในการพัฒนากรอบการทำงานของ R2R ที่ครอบคลุม ซึ่งรวมถึงการห้ามการจับคู่ชิ้นส่วน (Parts Pairing) เพื่อให้สามารถเข้าถึงชิ้นส่วนได้ง่ายขึ้น การกำหนดราคามาตรฐาน และการให้สิ่งจูงใจสำหรับธุรกิจซ่อมแซม ข้อเสนอเหล่านี้สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการโมเดลเศรษฐกิจ Bio-Circular-Green (BCG) ของประเทศไทย (พ.ศ. 2564-2570)
มร.เอ็ดเวิร์ด แรตคลิฟฟ์ กล่าวว่า การที่สหภาพยุโรปบังคับใช้กฎหมายตั้งแต่กรกฎาคม 2567 พบว่าช่วยกระตุ้นให้คนอียูตื่นตัวในเรื่องนี้ ซึ่งก่อนหน้าที่จะบังคับใช้กฎหมายนี้ ได้มีการใช้เวลาในการหารือตอบข้อสนองของผู้บริโภคเรื่องซ่อม ซึ่งสินค้าที่ใช้ส่วนใหญ่ในบ้านจะเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ เมื่อชิ้นส่วนอุปกรณ์ตัวใดหนึ่งเสีย ไม่สามารถซ่อมได้ หรือค่าซ่อมแพง แสดงให้เห็นว่าในอียู นอกจากเรื่องสิ่งแวดล้อมแล้วมีประเด็นค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคด้วย สามารถลดขยะ e-waste 20-30% และลดค่าใช้จ่ายของผู้บริโภค 25%
ด้านดร.กฤษฎา แสงเจริญทรัพย์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า รายงานวิจัยฉบับใหม่นี้รวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการซ่อมกว่า 40 รายในกรุงเทพฯ โดยมีการสัมภาษณ์ในเชิงลึก ครอบคลุมตลาดใหญ่ เช่น MBK บิ๊กซี และโลตัส พบปัญหาสำคัญในระบบซ่อมแซมของไทย โดย 54% ของร้านซ่อมอิสระไม่มีคู่มือการซ่อม ขณะที่ 96% ไม่สามารถเข้าถึงอะไหล่จากศูนย์บริการหรือผู้ผลิตที่ได้รับอนุญาต “ความท้าทายในการซ่อม เครื่องมือในการซ่อม เป็นการเรียนรู้จากร้านซ่อม หรือถามจากช่างข้างร้าน อีกทั้งผู้ประกอบการร้านซ่อมรายย่อยยังประสบปัญหาความน่าเชื่อถือและความไม่ปลอดภัยในเรื่องข้อมูล ถ้าสามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้ จะผลักดันให้สิทธิด้านการซ่อมได้การยอมรับมากขึ้น” ดร.กฤษฎา กล่าว
งานวิจัยนี้เผยแพร่ในช่วงเวลาสำคัญ ขณะที่ “ร่างพระราชบัญญัติความรับผิดชอบต่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เลมอน ลอว์” (Lemon Law) ของไทยกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งช่วยชดเชยค่าเสียหายให้ผู้บริโภค โดยเชื่อว่าแนวคิด R2R ช่วยจุดประกายให้สังคมไทยตระหนักถึงการลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมและลดขยะอิเล็กทรอนิกส์
ทั้งนี้ รายงานฉบับเต็มได้ทำการวิเคราะห์แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในโลกเกี่ยวกับนโยบาย R2R และได้เสนอข้อแนะนำที่ชัดเจนสำหรับประเทศไทยในการพัฒนากรอบงานของตนเอง ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถเป็นผู้นำในด้านการบริโภคที่ยั่งยืนและการคุ้มครองผู้บริโภคในระดับภูมิภาค