คาร์กิลล์ ผู้นำธุรกิจนวัตกรรมอาหารและเกษตรกรรมของโลก ร่วมกับ สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Program : UNDP) และมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี เปิดตัวโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อม “SeaShine” เพื่อลดปริมาณขยะเปียกและขยะพลาสติกที่ถูกทิ้งลงทะเล พร้อมทั้งสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ เพิ่มรายได้ให้ชุมชนชายฝั่งทะเลภาคใต้ของไทย
โครงการดังกล่าวจะเริ่มดำเนินการในเดือนมกราคม 2565 โดยคาร์กิลล์ UNDP และ มรภ.สุราษฎร์ธานี จะร่วมกันสร้างระบบนิเวศเพื่อการบริหารจัดการขยะอย่างยั่งยืน และส่งเสริมให้ชุมชนจัดเก็บและคัดแยกขยะ รวมทั้งถุงอาหารสัตว์เพื่อนำมาแลกประโยชน์ที่ส่งเสริมความยั่งยืนต่อไป ซึ่งจะช่วยลดปัญหาขยะในพื้นที่ชุมชนรอบ ๆ มรภ.สุราษฏร์ธานี ที่มีปริมาณมากถึง 63 ตันต่อเดือน และเป็นปัญหาใหญ่ที่มหาวิทยาลัยและชุมชนประสบมานาน โดยโครงการฯ จะจัดสร้างสถานีการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goal Station) หรือสถานี SDG บนพื้นที่ 3 ไร่ภายในมหาวิทยาลัย พร้อมกันนี้ จะมีการสอนให้ประชาชนในชุมชนรอบ ๆ ได้รู้จักคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี และนำมาขายให้แก่สถานี SDG เพื่อนำไปรีไซเคิลต่อไป
โครงการฯ นี้จะช่วยสร้างความมั่นใจว่าจะมีการจัดการขยะอย่างเหมาะสม รวมทั้งสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่จากการขายขยะ ตลอดจนลดปริมาณขยะที่อาจถูกทิ้งลงไปในทะเล ขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยและนักศึกษาจะสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการขยะจากประสบการณ์จริงได้อีกด้วย
มาร์โก เดอ นาราย กรรมการผู้จัดการ คาร์กิลล์ โภชนาการอาหารสัตว์น้ำ ประเทศไทยและเวียดนาม กล่าวว่า คาร์กิลล์มีส่วนร่วมในการสร้างความแข็งแกร่งและพัฒนาชุมชนในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลานาน ความร่วมมือครั้งนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ของเราและประเทศไทยมีความแน่นแฟ้นมากขึ้นทั้งในเชิงกว้างและเชิงลึกโดยเฉพาะความร่วมมือในการจัดการความท้าทายยิ่งใหญ่ที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของคาร์กิลล์ที่จะสร้างพันธมิตรและร่วมมือในการกระตุ้นให้เกิดการอนุรักษ์ทะเล และสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของบริษัทฯ ที่จะส่งเสริมความสมบูรณ์ของโลกอย่างปลอดภัย ด้วยความรับผิดชอบ และแนวทางที่นำไปสู่ความยั่งยืน
ในช่วงที่เกิดการระบาดของเชื้อ COVID-19 ปริมาณขยะพลาสติกเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะจากมาตรการล็อคดาวน์ทั่วประเทศ และการทำงานที่บ้าน สำหรับจังหวัดสุราษฎร์ธานีซึ่งเป็นที่ตั้งของ มรภ.สุราษฎร์ธานี คาดว่าปริมาณขยะที่จะต้องถูกฝังกลบในพื้นที่ใกล้เคียงจะมีมากถึง 426 ตันในปี พ.ศ.2564 นี้
ด้านเรอโนด์ เมแยร์ ผู้แทนยูเอ็นดีพีประจำประเทศไทย กล่าวว่า ยูเอ็นดีพียินดีที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับคาร์กิลล์ในการดำเนินโครงการสำคัญซึ่งเป็นนวัตกรรมในการกำจัดขยะเช่นนี้ การลดปริมาณขยะพลาสติกและขยะเปียกจะช่วยให้ชุมชนชายฝั่งทะเลมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และช่วยให้เกิดสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนในระยะยาว โครงการนี้แสดงให้เห็นว่าเราสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีในการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนหรือ SDG ภายในท้องถิ่นได้ด้วยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน
ในการดำเนินโครงการดังกล่าว หน่วยงานด้าน SDG และนักศึกษาอาสาสมัครจะทำงานร่วมกันในการพัฒนาระบบไอทีเพื่อบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับขยะของคนในชุมชนเป็นรายคน ก่อนจะนำข้อมูลนั้นมาแปลงเป็นประโยชน์ที่เห็นเป็นรูปธรรม เช่น ปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจก และปริมาณขยะที่นำมารีไซเคิล เป็นต้น และแสดงผลข้อมูลบนแดชบอร์ด ซึ่งเปิดให้ทุกคนได้เห็น และติดตามความคืบหน้าของโครงการได้โดยสะดวก