ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย ชูเทคโนโลยี AI ขับเคลื่อนธุรกิจสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2039


กรุงเทพฯ  : ยูนิลีเวอร์ ผู้นำตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคระดับโลกและนวัตกรรมดิจิทัล นำเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI)  ขับเคลื่อนธุรกิจสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี พ.ศ. 2582  พร้อมนำร่องความสำเร็จจากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขต (Scope) ที่ 1 และ 2 ได้แล้วถึง 72% นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 เพื่อยกระดับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทานการจัดการพลาสติก รวมถึงการติดตามผลอย่างมีประสิทธิภาพ

ณัฏฐิณี เนตรอำไพ

ณัฏฐิณี เนตรอำไพ ที่ปรึกษาอาวุโสฝ่ายสื่อสารองค์กร องค์กรสัมพันธ์ และความยั่งยืน กลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย กล่าวว่า ยูนิลีเวอร์เป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของโลกด้านผลิตภัณฑ์ความงามและการดูแลส่วนบุคคล ผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน รวมถึงอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งมียอดขายในกว่า 190 ประเทศและเข้าถึงผู้บริโภค 3.4 พันล้านคนต่อวัน และมีพนักงาน 128,000 คน ในปี 2567 มียอดขาย 60.8 พันล้านยูโร

ยูนิลีเวอร์ได้ Refocus เฉพาะสิ่งที่สร้างผลกระทบต่อโลกและสังคม โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 1 และ 2 ให้ได้ 100% ภายในปี พ.ศ. 2573 พร้อมทั้งมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 3 ซึ่งครอบคลุมกิจกรรมในห่วงโซ่อุปทานและการใช้ผลิตภัณฑ์ให้ได้ 42% ภายในปีเดียวกัน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีเป้าหมายด้านการจัดการพลาสติกที่ชัดเจน โดยมุ่งเพิ่มสัดส่วนพลาสติกรีไซเคิลในบรรจุภัณฑ์ให้ได้ 25% ภายในปี พ.ศ. 2568 ลดการใช้พลาสติกใหม่ (Virgin Plastic) ลง 30% ภายในปี พ.ศ. 2569 และ 40% ภายในปี พ.ศ. 2571 เทียบกับปีฐาน พ.ศ. 2562 รวมถึงดำเนินการตามแผนที่จะทำให้บรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบแข็งทั้งหมดสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ รีไซเคิล หรือย่อยสลายได้ภายในปี พ.ศ. 2573 และบรรจุภัณฑ์แบบยืดหยุ่นภายในปี พ.ศ. 2578

“ยูนิลีเวอร์ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการนำเสนอทางเลือกที่ตอบโจทย์ทั้งด้านประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์และการรักษ์โลกให้กับผู้บริโภค ปัจจุบันบรรจุภัณฑ์พลาสติกจากยูนิลีเวอร์  57% สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ รีไซเคิล หรือย่อยสลายได้ พร้อมทั้งเก็บกลับคืนบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ใช้แล้วทั้งของยูนิลีเวอร์และอื่นๆ ราว 110%” ณัฏฐิณี  กล่าว

ภายใต้โครงการ Bright Future ซึ่งต่อยอดมาจาก Clean Future ที่ริเริ่มแนวคิดเมื่อปี พ.ศ. 2562 ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนาบรรจุภัณฑ์และส่วนผสมให้ยั่งยืนมากขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติและย่อยสลายได้ อย่างซันไลต์ RHAMNO Clean เพื่อช่วยลด CO2 ในขอบเขตที่ 3

ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย

ที่สำคัญ ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทยได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาประยุกต์ใช้ในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน การผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง ไปจนถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทั้งผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถOptimize การผลิต ช่วยเพิ่ม Productivity  40% ประกอบกับบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายด้านความยั่งยืน ทำให้ไม่มีปรับราคาเพิ่มแต่อย่างใด

“เรานำ AI เข้ามาช่วยในการจัด Foot Print  ช่วยในเรื่องข้อมูล เพื่อช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ของเรา สามารถหาสารที่เป็นรมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจาก Journal ต่างประเทศ  ช่วยในการผลิตสินค้าโดยมีภาพจำลองเสมือนผลิตจริง ผ่าน  Digital Twin

เรียกได้ว่ามีการนำ AI มา Embedในทุกมิติ ทั้งการวิจัยและพัฒนา การผลิต การตลาด และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการดำเนินงาน 72% รวมทั้งใช้วัตถุดิบที่ไม่ทำลายป่าพรุ 97%  ไม่มีการปล่อยของเสียไปที่แหล่งน้ำ และบ่อขยะ และบรรจุภัณฑ์ของบริษัทฯ สามารถใช้ซ้ำ รีไซเคิลและย่อยสลายได้ถึง 57%” ณัฏฐิณี  กล่าว

อย่างไรก็ตาม AI ใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลังงานจากฟอสซิลที่ไม่ใช่กรีน เป็นโจทย์ที่บริษัทฯ ซึ่งใช้ AI จะต้องหาแหล่งพลังงานสีเขียวต่อไป

โรงงานยูนิลีเวอร์ ประเทศไทยที่นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ จังหวัดฉะเชิงเทรา

นอกจากนี้ โรงงานยูนิลีเวอร์ ประเทศไทยที่นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ยังได้รับการรับรองการใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ตั้งแต่ปี 2566 ผ่านการพัฒนา Biomass Boiler, Solar Roof เพื่อจัดหาพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งใช้ระบบทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการนำเทคโนโลยี Digital Twin มาจำลองการผลิตและออกแบบบรรจุภัณฑ์ ทำให้ลดต้นทุน ลดของเสีย และเพิ่มคุณภาพโดยไม่ต้องใช้การทดลองจริง นับเป็นโรงงานแห่งที่3 จากโรงงาน ทั้งหมดทั่วโลก

“ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าความยั่งยืนไม่ใช่เพียง พันธกิจด้านสังคม แต่ความยั่งยืนคือหัวใจของธุรกิจในการเติบโตอย่างมั่นคง และยังเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจ ที่เพิ่มศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว โดยการบูรณาการ เทคโนโลยี AI และดิจิทัลเข้ากับทุกห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่แท้จริง” ณัฏฐิณี กล่าวทิ้งท้าย