โดย ศ. ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล; ดร.ณัฐวิญญ์ ชวเลิศพรศิยา; ภาวินี พงศ์พันธ์พฤทฺธิ์; รัชนัน ชำนาญหมอ; ดร.อริสรา เพียรมนกุล คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
1. ความเป็นกลางทางคาร์บอน
ความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutral เป็นการดำเนินกิจกรรม โครงการ หรือกิจกรรมขององค์กร หน่วยงาน หรือประเทศ ที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยมีแนวทาง คือ (1) การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ต้นทาง เช่น การใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable energy) แทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล (Fossil fuel) (2) การชดเชยคาร์บอนเครดิต (Carbon offsets) โดยการลงทุนในโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อสภาพภูมิอากาศ เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งนี้ ในการดำเนินการเพื่อมุ่งสู่การเป็น Carbon neutral ต้องมีการรวบรวมข้อมูลซึ่งเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อาทิ การใช้พลังงาน (Energy consumption) ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (Gross Domestic Product; GDP) การเผาไหม้เชื้อเพลิง ยานพาหนะ ข้อมูลสถิติประชากร เป็นต้น เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยในการจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจกตามมาตรฐานการจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจกของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะใช้วิธีการคำนวณตามคู่มือการคำนวณของคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลด้านสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Intergovernmental Panel on Climate Change; IPCC) โดยใช้ข้อมูลของกิจกรรม (Activity data) และค่าการปลดปล่อย (Emission factor) ในการคำนวณ รวมถึงการกำหนดเป้าหมายปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในแต่ละปีที่ต้องการลด เพื่อการวางแผนแนวทางในการชดเชยคาร์บอนหรือลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งจำเป็นต้องมีการคาดการณ์ (Forecast) ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในปัจจุบัน การคาดการณ์ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีหลายวิธีไม่ว่าจะเป็นการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence; AI) แบบจำลองการถดถอย (Regression Model) การจำลองสถานการณ์ด้วยคอมพิวเตอร์ (Computer-based simulation) หรือแบบจำลองการเติบโต (Growth model) เป็นต้น ซึ่งผลที่ได้จากการวิเคราะห์แนวโน้มการเกิดก๊าซเรือนกระจกเป็นปัจจัยสำคัญเพื่อประกอบการตัดสินใจการวางนโยบายและแนวทางการดำเนินการที่เป็นไปได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบันสถานการณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นในทุกภูมิภาคทั่วโลก โดยประเทศที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงที่สุดในโลกคือประเทศจีน รองลงมาคือประเทศสหรัฐอเมริกา คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30.3 และ 13.4 ตามลำดับ ในปี ค.ศ. 2019 ซึ่งทั้งประเทศจีนและสหรัฐอเมริกาได้ออกมาประกาศเป้าหมายเพื่อให้สามารถมุ่งเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี ค.ศ. 2060 และ 2050 ตามลำดับ
นอกจากนี้ในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา หลากหลายประเทศทั่วโลกเริ่มตื่นตัวและพยายามให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก (Climate Change) โดยตั้งเป้าหมายที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนอย่างเป็นรูปธรรมในช่วงที่ผ่านมา จากการเก็บรวบรวมข้อมูลและติดตามการทำงานของประเทศต่าง ๆ โดย Energy & Climate Intelligence Unit พบว่ากว่า 100 ประเทศทั่วโลกได้มีการออกกฎหมายและนโยบายเพื่อบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิลงจนเป็นศูนย์ ซึ่งตัวอย่างของประเทศดังกล่าวสรุปดังตารางที่ 1
เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบข้อมูลจากตารางข้างต้นจะสังเกตได้ว่า ประเทศนอร์เวย์ สหภาพยุโรป ชิลี ไอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา และจีน มีสัดส่วนของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคอุตสาหกรรมค่อนข้างสูง เนื่องจากยังมีการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น น้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ อยู่เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้แนวทางการจัดการเพื่อเดินหน้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ในภาคอุตสาหกรรมของแต่ละประเทศมีความคล้ายคลึงกัน ได้แก่ การลดหรือยกเลิกการใช้เชื้อเพลิงจากถ่านหินโดยเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียน นอกจากนี้ บางประเทศยังออกมาตรการในการเพิ่มภาษีคาร์บอน การกำหนดงบประมาณคาร์บอนเพื่อจำกัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่สามารถปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังมีการสนับสนุนเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage; CCS) และส่งเสริมให้มีการปลูกป่าเพื่อเพิ่มแหล่งสะสมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตามธรรมชาติ (Carbon sink) อีกด้วย
ตารางที่ 1 สถานะการดำเนินการ องค์ประกอบของแต่ละภาคส่วน และแนวทางการจัดการของแต่ละประเทศเพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ
นอกจากนี้ ยังพบว่าประเทศนอร์เวย์ ชิลี ไอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา และจีน ตลอดจนสหภาพยุโรป มีแนวทางการจัดการในภาคเกษตรกรรมที่คล้ายคลึงกัน ได้แก่ ลดการเผาวัสดุทางการเกษตรและลดการเผาเพื่อเตรียมพื้นที่ปลูกในฤดูกาลถัดไป สนับสนุนการใช้พลังงานชีวมวล (Biomass)การปรับปรุงการเกษตรเพื่อลดการเกิดก๊าซมีเทนซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการเลี้ยงปศุสัตว์ โดยจะต้องมีการบริหารจัดการมูลสัตว์ที่เหมาะสม การประยุกต์ใช้หลักความสัมพันธ์ของพลังงานและสิ่งแวดล้อม (Energy-Environment nexus) ในการปรับใช้พลังงานสะอาดในกระบวนการผลิตผลผลิตทางการเกษตร และใช้ยานพาหนะพลังงานสะอาดในการขนส่ง อีกทั้งยังส่งเสริมการจัดการของเสียที่เหมาะสมหลังการใช้งาน โดยมีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน (Sustainable Consumption and Production; SCP)
นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมการเกษตรอัจฉริยะ (Smart agriculture) ซึ่งเป็นการเกษตรที่มีการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อเสริมให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสามารถควบคุมทุกขั้นตอนด้วยเทคโนโลยีเพื่อทำการตรวจสอบ เก็บข้อมูล วิเคราะห์และแก้ปัญหาการเพาะปลูกได้ทันท่วงที พร้อมทั้งสามารถแสดงผลข้อมูลการเจริญเติบโตและคาดการณ์ผลผลิตได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิตของการเกษตรกรรมอีกด้วย โดยหากนำแนวทางจัดการทั้งหมดนี้มาปรับใช้ จะส่งผลให้สามารถบรรลุเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนได้ภายในปีที่กำหนดแนวทางที่ประเทศต่าง ๆ ใช้เพื่อขับเคลื่อนสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนของแต่ละภาคส่วนสามารถสรุปได้ดังตารางที่ 2
สำหรับประเทศไทย เป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นอันดับที่ 21 ของโลก และเป็นอันดับที่ 2 ของอาเซียน รองจากประเทศอินโดนีเซีย โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 0.9% ของโลก หรือคิดเป็นปริมาณ 331 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าในปี พ.ศ. 2562 เมื่อพิจารณาองค์ประกอบโดยรวมจะประกอบด้วยสัดส่วนของภาคพลังงาน 31.9% การเผาไหม้ในภาคอุตสาหกรรมอื่น 27.7% ภาคการขนส่ง 23.3% ภาคอุตสาหกรรมที่ไม่มีการเผาไหม้ 9.5% และการใช้พลังงานภายในอาคาร 7.6% ทั้งนี้ ภาคส่วนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ว่าจะเป็นจากภาคพลังงาน การใช้เชื้อเพลิงในภาคอุตสาหกรรมอื่น ภาคการขนส่ง และการใช้พลังงานภายในอาคาร ล้วนเกิดจากความต้องการใช้พลังงานทั้งสิ้นโดยคิดรวมกันเป็นสัดส่วนถึง 90.5% ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับการบริหารจัดการในภาคพลังงาน ภาคการขนส่ง และภาคอุตสาหกรรม จึงควรมีการจัดตั้งคณะทำงานฯ กระทรวงพลังงานและดำเนินการศึกษาเบื้องต้นเพื่อสนับสนุนการมุ่งสู่สังคมความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศไทย โดยจากการรวบรวบข้อมูลที่เกี่ยวข้องแนวทางการจัดการที่เหมาะสมในด้านพลังงานอาทิการลดการใช้พลังงานไฟฟ้า การส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทนหรือเชื้อเพลิงสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลดหรือยกเลิกการใช้โรงไฟฟ้าถ่านหินหรือฟอสซิล การจัดการระบบไฟฟ้าแบบสมาร์ทกริด (Smart grid) และเพิ่มประสิทธิภาพในทุกกระบวนการผลิตไฟฟ้า เป็นต้น
ตารางที่ 2 สรุปแนวทางการจัดการเพื่อเดินหน้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน
ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมซึ่งนับว่าเป็นแหล่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย พบว่ามีการผลักดันให้ใช้พลังงานสะอาดในการเผาไหม้มากขึ้น ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีการพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อเข้าสู่การเป็นอุตสาหกรรมเขียว (Green industry) อีกทั้งยังมีการสร้างกลไกสื่อสารต่อผู้บริโภคและผู้ผลิตให้มีความคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วยการจัดทำฉลากสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีการใช้กลไกทางเศรษฐศาสตร์เพื่อส่งเสริมและขับเคลื่อน Carbon neutral ด้วยโครงการ T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) ซึ่งเป็นโครงการที่สนับสนุนให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดย T-VER จะรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่สามารถลดหรือกักเก็บได้ ซึ่งเรียกว่า คาร์บอนเครดิต (Carbon credit) ที่สามารถนำไปทำการซื้อขายในตลาดคาร์บอนต่อไปได้
สำหรับภาคการขนส่ง พบว่ามีการสนับสนุนการใช้ระบบขนส่งสาธารณะและส่งเสริมให้ใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น โดยมีการวางแผนจัดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าให้ครอบคลุมในรัศมี 50-70 กิโลเมตร รวมทั้งส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์ทดสอบมาตรฐานแบตเตอรี่และบริหารจัดการซากแบตเตอรี่ที่เกิดขึ้นจากการใช้งาน เพื่อความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังมีการออกนโยบายยกเว้นภาษีสำหรับผู้ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยอีกด้วย

ในส่วนของภาคเกษตรกรรม ซึ่งนับว่ามีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยเป็นอย่างมาก พบว่ามีการผลักดันให้ลดการเผาไหม้วัสดุทางการเกษตร (Zero burn) เพื่อลดปัญหามลภาวะทางอากาศ เช่น ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5)อีกทั้งยังมีการส่งเสริมการเกษตรอัจฉริยะ (Smart agriculture) ควบคู่กับโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy; BCG Economy) ซึ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม โดยใช้แนวคิดการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มายกระดับเกษตรกรรมในประเทศไทยเพื่อนำไปสู่การลดต้นทุนการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิต เพิ่มมูลค่าและสร้างความหลากหลายให้แก่ผลิตภัณฑ์ อีกทั้งยังสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เน้นการแปลงของเสียเป็นแหล่งรายได้ เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ยังมีในส่วนของภาคอุตสาหกรรมที่ไม่มีการเผาไหม้ซึ่งมีสัดส่วน 9.5%ที่เกิดจากการอุปโภคและบริโภคสินค้าในชีวิตประจำวันโดยสามารถประยุกต์ใช้แนวทางในการปรับตัวในชีวิตประจำวัน ทั้งการปลูกฝังการลดการใช้พลาสติกที่ย่อยสลายยากและสร้างจิตสำนึกในการลดการเกิดขยะ โดยมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและให้ความสำคัญกับการจัดการขยะและของเสียที่เกิดขึ้น เพื่อการเติบโตของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนจากที่กล่าวถึงมาทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต่างให้ความร่วมมือและมีความมุ่งมั่นที่จะแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศไทยมีโอกาสเดินหน้าเข้าสู่สังคมที่ไร้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ในอนาคต
2. กรณีศึกษาการเดินหน้าสู่ Net zero
ตัวอย่างกรณีศึกษาของประเทศไอร์แลนด์ ในหัวข้อ “Zero carbon energy system pathways for Ireland consistent with Paris agreement” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นไปได้และผลกระทบจากแนวทางการลดปริมาณคาร์บอนให้สอดคล้องกับความตกลงปารีส (Paris Agreement) ของประเทศไอร์แลนด์ งานวิจัยนี้ทำการศึกษาด้วยแบบจำลอง Irish-TIMES energy system และ MACRO-stand-alone (MSA) ซึ่งเป็นแบบจำลองที่ศึกษาด้วยแบบจำลองการถดถอยเชิงเส้น (Linear regressionmodel)และใช้วิธีการคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าตามคู่มือของคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change; IPCC) โดยใช้ข้อมูลกิจกรรม (Activity data) และค่าการปลดปล่อย (Emission factor) ในการคำนวณ

งานวิจัยนี้ได้ทำการจำลองสถานการณ์จำนวน 38 สถานการณ์ ซึ่งในแต่ละสถานการณ์จะทำการปรับเปลี่ยนปริมาณงบประมาณคาร์บอน (Carbon budget) ปริมาณการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และตัวแปรที่อาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ประเภทของเทคโนโลยี แผนบริหารจัดการแบบต่าง ๆ เช่น การดำเนินการทันทีหรือชะลอ และการตอบสนองต่อความต้องการพลังงานที่มีต่อเศรษฐศาสตร์มหภาค เป็นต้น

เพื่อบรรลุเป้าหมายของความตกลงปารีสที่จะควบคุมอุณหภูมิโลกให้ร้อนขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ผลการศึกษาพบว่า หากประเทศไอร์แลนด์กำหนดงบประมาณคาร์บอน (กำหนดปริมาณการปล่อยคาร์บอน) ในปริมาณ 223 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ในปริมาณ 3.5–3.9 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ภายใต้แผนบริหารจัดการแบบทำทันที จะช่วยผลักดันให้ให้ประเทศไอร์แลนด์สามารถบรรลุวัตถุประสงค์การลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกลงจนเป็นศูนย์ได้ภายในปีค.ศ. 2050 ทั้งนี้เมื่อพิจารณาสัดส่วนของการใช้พลังงานพบว่าปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมให้บรรลุเป้าหมาย ได้แก่ ความต้องการใช้พลังงานที่ลดลง การปรับเปลี่ยนไปใช้พลังงานทางเลือกอื่น ๆ เช่น พลังงานน้ำ พลังงานลม และพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพ แทนการใช้น้ำมันและก๊าซธรรมชาติในภาคอุตสาหกรรม ภาคขนส่ง และการผลิตไฟฟ้า
นอกจากนี้ยังพบว่าการกำหนดงบประมาณคาร์บอนสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่บรรยากาศได้รวดเร็วกว่าการกำหนดเป้าหมายการลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี โดยหากดำเนินการด้วยแผนบริหารจัดการแบบทำทันทีจะสามารถลดระยะเวลาในการเข้าสู่เป้าหมาย Net zero ลง อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนในการจัดการก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อีกด้วย ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไอร์แลนด์ยังคงอยู่ได้ ถึงแม้ว่าจะมีความพยายามในการลดก๊าซเรือนกระจกลงอย่างรวดเร็วก็ตาม โดย GDP ในประเทศอาจลดลงเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ในช่วงแรก แต่จะส่งผลให้เกิดการพัฒนาทั้งในแง่เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนในระยะยาว
อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ กรณีศึกษาของประเทศไทยในหัวข้อ “Assessment of greenhouse gas mitigation pathways for Thailand towards achievement of 2°C and 1.5°C Paris Agreement targets” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินเส้นทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยในช่วงปี ค.ศ. 2010–2050 เพื่อให้บรรลุความตกลงปารีส และนำไปสู่การลดลงของก๊าซเรือนกระจกสุทธิจนเป็นศูนย์
งานวิจัยนี้ทำการศึกษาด้วยแบบจำลองMARKAL ซึ่งเป็นแบบจำลองที่ศึกษาด้วยแบบจำลองการถดถอย (Linear regressionmodel)และใช้วิธีการคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าตามคู่มือการคำนวณของ IPCC โดยทำการจำลองสถานการณ์การลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกจำนวน 8 สถานการณ์ เปรียบเทียบกับแนวทางการลดก๊าซเรือนกระจกในปัจจุบัน ซึ่งในแต่ละสถานการณ์จะทำการปรับเปลี่ยน ปริมาณการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป้าหมายในการลดอุณหภูมิ (1.5 และ 2 องศาเซลเซียส) ประเภทของเทคโนโลยี และตัวแปรในเชิงเศรษฐศาสตร์ ได้แก่ GDP จำนวนประชากร ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากประเภทของเทคโนโลยี และแหล่งพลังงาน เป็นต้น เพื่อวิเคราะห์ถึงผลกระทบของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในแต่ละสถานการณ์ ที่มีต่อฝ่ายอุปสงค์และอุปทานของประเทศไทย ได้แก่ ภาคพลังงาน ภาคอุตสาหกรรม ภาคการขนส่ง การใช้พลังงานภายในอาคาร และภาคเกษตรกรรม เป็นต้น
ผลการศึกษาพบว่า ประเทศไทยสามารถบรรลุข้อตกลงปารีสที่อุณหภูมิ 1.5 องศาเซลเซียสและเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนได้ ในปี ค.ศ. 2050 หากสามารถลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคพลังงาน ภาคอุตสาหกรรม ภาคขนส่ง และการใช้พลังงานภายในอาคาร คิดเป็นร้อยละ 90 74.6 57.7 และ 46.3 ตามลำดับ ทั้งนี้ จะต้องอาศัยการปฏิรูปอย่างฉับพลันในทุกภาคส่วนของทั้งฝ่ายอุปสงค์และอุปทาน โดยฝ่ายอุปทานจะต้องมีการปรับเปลี่ยนไปใช้พลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพควบคู่กับการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Bioenergy with carbon capture and storage; BECCS) และผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพ จึงจะมีส่วนช่วยให้สามารถเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนได้รวดเร็วขึ้น ส่วนภาคอุปสงค์นั้นต้องมีการปรับใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและใช้เทคโนโลยีที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ นอกจากนี้ภาคขนส่งควรมีการปรับเปลี่ยนไปใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น รวมถึงการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าและพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพ

ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงเพื่อเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศไทยยังคงต้องการการกำหนดนโยบายและแหล่งเงินทุนเพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อีกทั้งยังมีความจำเป็นในการค้นหาทางเลือกเพิ่มเติมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การคิดภาษีคาร์บอน การซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอน การปลูกป่า และการเปลี่ยนแปลงทางสังคม จึงจะส่งผลให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิลงจนเป็นศูนย์ได้อย่างสมบูรณ์
จากทั้งสองกรณีศึกษาข้างต้นจะเห็นได้ว่า ประเทศไอร์แลนด์และประเทศไทยมีความเป็นไปได้ที่จะบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิลงจนเป็นศูนย์ในปี ค.ศ. 2050 โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อแนวทางการลดก๊าซเรือนกระจกของทั้งสองประเทศ ได้แก่ ความต้องการใช้พลังงานที่ลดลง การปรับเปลี่ยนไปใช้พลังงานทางเลือกอื่นๆเช่น พลังงานน้ำ พลังงานลม พลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพ และพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพควบคู่กับการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แทนการใช้น้ำมันและก๊าซธรรมชาติในภาคอุตสาหกรรม การปรับเปลี่ยนไปใช้การขนส่งสาธารณะมากขึ้น รวมไปถึงการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าและพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพ นอกจากนี้ในเชิงการบริหารจัดการควรมีการกำหนดงบประมาณคาร์บอนที่เหมาะสมและทำทันที จึงจะส่งผลให้ประเทศไอร์แลนด์และประเทศไทยสามารถเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน
3. ยุทธศาสตร์ชาติและเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนกับความเป็นกลางทางคาร์บอน
สำหรับประเทศไทยได้มีการตั้งเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งกำหนดตัวชี้วัดไว้ 5 ด้าน โดยมีตัวชี้วัดหลักในการตั้งเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกจากภาคพลังงานและขนส่ง อุตสาหกรรม การใช้ผลิตภัณฑ์และการกำจัดของเสียลงอย่างน้อยร้อยละ 20 จากกรณีปกติ ในปี พ.ศ. 2580 (ค.ศ. 2037)โดยพิจารณาความสัมพันธ์ของพลังงานและสิ่งแวดล้อม (Energy-Environment nexus) ในการจัดการในสาขาพลังงานและขนส่ง กระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ และการจัดการของเสีย เช่น การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนแต่ยังคงต้องรักษาระดับค่าความเข้มของการใช้พลังงาน (Energy Intensity; EI) ของประเทศให้อยู่ในระดับที่สามารถยอมรับได้หรือเพิ่มสูงขึ้น การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานและการจัดการคมนาคม การปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรมแบบปล่อยคาร์บอนต่ำ ตลอดจนลดการก่อให้เกิดของเสีย
ค่าเป้าหมายดังกล่าวนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นเป้าหมายขั้นต่ำในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย เนื่องจากได้มีมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบต่อข้อเสนอการมีส่วนร่วมของประเทศในการลดก๊าซเรือนกระจกและการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Nationally Determined Contribution; NDC) โดยกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกขั้นต่ำที่ร้อยละ 20 และกำหนดเป้าหมายขั้นสูงที่ร้อยละ 25 จากกรณีปกติภายในปี พ.ศ. 2573 (ค.ศ. 2030) รวมถึงการปรับตัว (Adaptation) เพื่อลดความสูญเสียและเสียหายจากภัยธรรมชาติและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ภัยพิบัติ โรคอุบัติใหม่ (Emerging diseases)และการมุ่งเป้าสู่การลงทุน (Investment) ที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐและเอกชน ด้วยการพัฒนามาตรการด้านเศรษฐศาสตร์ การเงิน และการคลัง ในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการพัฒนาระบบรายงานข้อมูลที่สามารถวัดผล รายงานผล และตรวจสอบพิสูจน์ผลได้ (Measurable, Reportable and Verifiable; MRV) โดยมีการเชื่อมโยงของเครือข่ายข้อมูลในทุกภาคส่วน ซึ่งทิศทางในการกำหนดแนวทางการพัฒนาและเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยนี้ สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals; SDGs) เป้าหมายที่ 13 Climate Action ที่กำหนดเป้าประสงค์ในการเตรียมความพร้อมรับเพื่อมือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในรูปแบบต่างๆ การผลักดันให้แต่ละประเทศกำหนดนโยบายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการสร้างความตระหนักและความเข้าใจของสังคมเกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
4. แนวทางการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศไทย
จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยจะต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคพลังงานและภาคขนส่งที่เป็นภาคส่วนที่มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงแต่ก็มีศักยภาพที่จะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้สูงเช่นกัน โดยแนวทางในภาพกว้างเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้แก่
1) แนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงาน เช่น การใช้เชื้อเพลิงสะอาด การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า และการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน (Renewable Energy; RE)
2) แนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคขนส่ง เช่น การปรับมาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิง และการเปลี่ยนไปใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle; EV)
อย่างไรก็ตาม แนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน 2 ภาคส่วนนี้เป็นการปรับตัวในฝั่งอุปทาน (Supply-side) เพียงอย่างเดียว แต่การที่จะบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนั้นจะต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในฝั่งอุปสงค์ (Demand-side) ด้วยเช่นกัน ทั้งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดการใช้พลังงานในภาคครัวเรือนหรือในอาคาร รวมถึงการเลือกใช้ยานยนต์ไฟฟ้าหรือพลังงานสะอาด แต่การที่จะบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังคงต้องการอีก 4กลไกที่สำคัญในการขับเคลื่อนให้อุปสงค์มาพบกับอุปทานที่เปลี่ยนแปลงไปตามแนวทางที่ได้วางไว้ ได้แก่
1) กลไกทางการเงิน หรือเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ที่จะช่วยผลักดันฝั่งอุปสงค์ เช่น การอุดหนุนด้านราคาเพื่อให้เกิดความต้องการใช้พลังงานสะอาดหรือยานยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนการคิดภาษีคาร์บอน (Carbon tax) ในฝั่งผู้ผลิต เพื่อเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในฝั่งอุปทาน ซึ่งในที่นี้อาจหมายรวมถึงมาตรฐานพลังงานทางเลือก (Renewable Energy Certificate; REC) ซึ่งเป็นการผลักดันให้เกิดตลาดในการซื้อ-ขายพลังงานสะอาดภายในภาคอุตสาหกรรมด้วย นอกจากกลไกทางการเงินเพื่อการสนับสนุนทั้งฝั่งอุปสงค์และอุปทานแล้ว ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยด้านการเงินที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจก คือ Social cost of carbon[1]ซึ่งหมายถึง มูลค่าทางเศรษฐกิจจากความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศ ที่น่าจะเป็นต้นทุนอีกหนึ่งส่วนที่นำมาใช้ในการออกนโยบายเพื่อสนับสนุนหรือชดเชยแนวทางการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างเหมาะสม
2) เทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่รองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นภายใต้ความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะช่วยเติมเต็มระบบนิเวศในการสร้างสังคมคาร์บอนต่ำหรือสังคมที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนได้ โดยสามารถแบ่งประเภทของนวัตกรรมออกได้เป็น 4 ประเภท ที่จัดอยู่ใน 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่
-
- นวัตกรรมสำหรับฝั่งอุปทาน ได้แก่ กระบวนการ (Process) และโมเดลธุรกิจ (Business model) ใหม่ที่ตอบโจทย์ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เช่น กระบวนการดักจับคาร์บอนเพื่อกักเก็บหรือใช้ประโยชน์ ระบบสมาร์ทกริด (Smart grid) และเทคโนโลยีไฮโดรเจน
- นวัตกรรมฝั่งอุปสงค์ ได้แก่ การบริการ (Service) และผลิตภัณฑ์ (Product) ที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในเชิงพฤติกรรมและการเลือกใช้พลังงานสะอาด เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า หรือระบบจัดการพลังงานในอาคาร (Building energy management)
นวัตกรรมที่มีความจำเป็นนี้จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการทั้งวิสาหกิจขนาดกลางและเล็ก (SMEs) และธุรกิจสตาร์ทอัพ (Start-up) ในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทุกรูปแบบที่จำเป็นสำหรับการขับเคลื่อนไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
3) ภาคขนส่งโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม ในการวางนโยบายที่ส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่การขนส่งแบบคาร์บอนต่ำที่ยั่งยืน (Sustainable low-carbon transportation) ตลอดจนระบบสาธารณูปโภคที่จำเป็นที่ช่วยผลักดันไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงการขนส่งในรูปแบบอื่น เช่น การขนส่งผ่านระบบรางที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้
4) ภาคอุตสาหกรรม ที่เกี่ยวข้องทั้งในฝั่งอุปสงค์และอุปทานอาจเกิดการสร้างความร่วมมือระหว่างธุรกิจในลักษณะของกิจการร่วมการค้า (Joint venture) ในภาคอุตสาหกรรม อาทิเช่น รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle; BEV) เครื่องปรับอากาศ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้รับฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 การบริหารจัดการอาคาร ระบบควบคุมอัจฉริยะ (Smart control)เทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage; CCS) การดักจับและนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กลับมาใช้ใหม่ (Carbon capture and utilization; CCU) การขนส่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซไฮโดรเจนทางท่อ (CO2/H2 pipeline) ระบบสมาร์ทกริด เป็นต้นเพื่อยกระดับความสามารถและประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ ให้บรรลุเป้าหมายร่วมกันในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่น่าจะเป็นโอกาสในการลงทุนสีเขียว (Green investment) และการฟื้นตัวเศรษฐกิจอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green recovery) ของประเทศไทย
กลไกทั้ง 4 ส่วนนี้จำเป็นต้องมีการขับเคลื่อนบนข้อมูลที่มีความถูกต้องและมีความน่าเชื่อถือเพื่อทำให้การตัดสินใจในเชิงการออกแบบนโยบายและการบริหารจัดการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและเกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่พิจารณาในรูปคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint; CF) และความเข้มของการใช้พลังงาน (Energy Intensity; EI) ที่เป็นการวัดมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นจากการใช้พลังงาน เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่มีความสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจ การใช้พลังงานเพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิต และการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม
5. แนวทางการขยายผล (Scale-up) สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศไทย
นอกจากแนวทางในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงานและภาคขนส่งแล้ว ยังมีภาคส่วนอื่นที่สามารถมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาพรวมได้ ยกตัวอย่างเช่นในภาคอุตสาหกรรมที่มีการเผาไหม้เชื้อเพลิง อาจพิจารณาการใช้เชื้อเพลิงสะอาดและพลังงานทดแทน ตลอดจนการเลือกใช้เทคโนโลยีดักจับคาร์บอนเพื่อกักเก็บหรือใช้ประโยชน์ และอีกภาคส่วนหนึ่งที่สำคัญซึ่งมีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกก็คือจากสินค้าและอาหารที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งในกระบวนการผลิต การใช้เพื่ออุปโภคบริโภค ไปจนถึงการกำจัดของเสียที่เกิดขึ้น โดยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากพื้นที่อาศัยมีสัดส่วนจากการซื้อสินค้าและอาหารกว่าร้อยละ 40 ดังนั้นการส่งเสริมการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน (Sustainable Consumption and Production; SCP) ที่มีการใช้หรือบริโภคผลิตภัณฑ์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และมีการจัดการของเสียที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะสมด้วยแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy; CE) ที่จะช่วยลดทรัพยากรที่ต้องใช้ก็จัดเป็นแนวทางหลักที่สามารถประยุกต์ใช้เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการอุปโภคบริโภคได้
แนวทางทั้งหมดที่ได้กล่าวถึงนั้นเป็นการจัดการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากแหล่งกำเนิด (Source) แต่หากพิจารณาปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิแล้วนั้น จะพบว่ายังมีอีกส่วนหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างมาก คือ พื้นที่สีเขียวที่เป็นแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Sink) ทั้งนี้ ในยุทธศาสตร์ชาติ20 ปี ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเองก็ได้มีการกำหนดเป้าหมายในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวของประเทศให้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 55 ซึ่งมีการประมาณการว่าน่าจะช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 100 ล้านตันต่อปี ยิ่งไปกว่านั้น การจัดการพื้นที่สีเขียวหรือทรัพยากรป่าไม้อย่างเหมาะสมยังช่วยส่งเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศผ่านโมเดลเศรษฐกิจฐานชีวภาพ (Bio Economy) ได้อีกทางหนึ่ง
โดยในส่วนของการบริหารจัดการพื้นที่สีเขียวซึ่งเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ และการติดตามสถานการณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยนั้น จะอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซึ่งกำกับดูแลทั้งในส่วนของการจัดการทรัพยากรป่าไม้และพื้นที่สีเขียว และยังเป็นหน่วยประสานงานกลางของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งจะเป็นผู้นำเสนอ NDC ของประเทศในเวทีสหประชาชาติตามที่ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นภาคีในความตกลงปารีส (Paris Agreement) การดำเนินงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในทั้ง 2 ด้านนี้จะอยู่ภายใต้แผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นแผนหลักของกระทรวงที่ใช้เป็นกรอบในการดำเนินงานเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ ทรัพยากรชายฝั่ง และความหลากหลายทางชีวภาพ และการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมของประเทศซึ่งหมายรวมถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยเช่นกันตลอดจนการสร้างการมีส่วนร่วมและการสื่อสารเพื่อสร้างองค์ความรู้ในการจัดการก๊าซเรือนกระจกและแนวทางการปรับตัวเพื่อรับมือผลกระทบให้กับสังคมในทุกภาคส่วนที่เป็นหนึ่งในบทบาทที่สำคัญของกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม จึงเรียกได้ว่ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญยิ่งในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อมุ่งสู่การเป็นประเทศที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนได้ในการจัดการส่วนของการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(Carbon sink)และภาพรวมในการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกที่ต้องทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นที่รับผิดชอบในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ต้นทางอย่างใกล้ชิด
นอกจากการเปลี่ยนแปลงในแต่ละภาคส่วนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ต้นทางและการเพิ่มการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แล้ว การพัฒนาเทคโนโลยีการดักจับ การนำใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon capture, utilization, and storage; CCU/S)ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จำเป็นต้องมีการผลักดันอย่างจริงจัง โดย CCU/S นี้เป็นเทคโนโลยีในการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากแหล่งกำเนิดหลัก เช่น การผลิตไฟฟ้าในภาคพลังงาน หรือในภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะการผลิตซีเมนต์และโลหะซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 21 ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคอุตสาหกรรม และเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี CCU/S และตั้งเป้าไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน
นอกจาก4 กลไกหลักที่เป็นแนวทางสำคัญในการขับเคลื่อนให้เกิดความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศ ทั้งกลไกทางการเงิน เทคโนโลยีและนวัตกรรม และการปรับตัวของภาคขนส่งและอุตสาหกรรมแล้ว ยังมีปัจจัยส่งเสริมที่จะช่วยให้เป้าหมายในการมุ่งสู่ความเป็นกลางของคาร์บอนของประเทศสามารถประสบความสำเร็จอีก3 ด้าน ได้แก่
1) การจัดการความรู้ (Knowledge management) อย่างเป็นระบบเพื่อการถ่ายทอดสู่สาธารณะทั้งในรูปแบบของการประชาสัมพันธ์ (Public Relation; PR)และการสร้างแบรนด์ (Branding) ของการเป็นสังคมไทยที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน
2) การจัดการข้อมูล (Data management) เพื่อรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องที่สามารถวัดผล รายงานผล และตรวจสอบพิสูจน์ผลได้อย่างเป็นระบบเพื่อให้เกิดการจัดการก๊าซเรือนกระจกในภาพรวมอย่างมีประสิทธิภาพ ข้อมูลที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการออกแบบนโยบายหรือมาตรการที่มีประสิทธิภาพของภาครัฐเช่น การดำเนินการจัดทำศูนย์ข้อมูล หรือ Sensor เพื่อตรวจวัดข้อมูลในระบบ Real time
3) การวิจัยและพัฒนา (Research and Development; R&D)ที่อาจนำไปสู่การลงทุนของภาคเอกชนหรือภาครัฐในกิจกรรมที่มีความสำคัญ
ปัจจัยทั้ง 3 ด้านนี้เป็นหลักการเช่นเดียวกับความพยายามในการจัดการปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กทั้งPM2.5 และ PM10ดังตัวอย่างในโครงการ Sensor for All ที่อาศัยทั้งเทคโนโลยีในการตรวจวัด ส่งข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อแสดงผล การสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับสังคมผ่านช่องทางต่าง ๆ และการวิจัยและพัฒนาจากข้อมูลที่ได้รับ เช่น การพัฒนาระบบคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่นในอนาคต ซึ่งปัจจัยทั้ง 3 ด้านนี้จะช่วยส่งเสริมให้การบริหารจัดการปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เช่นเดียวกันกับการมุ่งสู่สังคมที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน การสร้างปัจจัยทุกด้านให้มีความพร้อมจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนทุกกลไกและสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาเครื่องมือที่จำเป็น ดังนั้น การเตรียมความพร้อมในเชิงโครงสร้างในการจัดตั้งหน่วยงานที่มีความเป็นกลางและน่าเชื่อถือเพื่อการจัดการองค์ความรู้ จัดการข้อมูล และช่วยกำหนดทิศทางการวิจัยและพัฒนาที่จำเป็น จึงน่าจะเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ควรพิจารณาในการสร้างระบบนิเวศสำหรับการขับเคลื่อนความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศ
ฤโดยสรุปแล้ว ในการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อมุ่งสู่สังคมเป็นกลางทางคาร์บอน จำเป็นต้องมีการสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดในทุกภาคส่วน มีการพัฒนาประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ยกระดับเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อก่อให้เกิดความยั่งยืนในภาคอุตสาหกรรม รวมทั้ง การเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ดังนั้น แนวทางในการสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าวประกอบด้วย
• ภาครัฐควรมีบทบาทนำในการพัฒนาประเทศไปสู่สังคมเป็นกลางทางคาร์บอนเนื่องจาก การดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับหลายหน่วยงานและภาคส่วน ในหลายระดับทั้งระดับระหว่างประเทศ ระดับภูมิภาค ระดับประเทศ และระดับท้องถิ่น จึงจำเป็นต้องมีกรอบแนวทางและนโยบายที่สอดคล้องกัน นอกจากนี้ ภาครัฐควรมีบทบาทในการสนับสนุนทั้งในเชิงนโยบายการเงิน และการลงทุนสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน (Infrastructure) เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมเป็นกลางทางคาร์บอน รวมทั้งภาครัฐควรเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับภาคเอกชนและภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตลอดจน สร้างเครื่องมือติดตามประเมินผลที่มีตัวชี้วัดและการรวบรวมข้อมูลที่ใช้ในการประเมินผลและจัดการข้อมูล (Data Management) โดยการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลหรือ Sensor เพื่อรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องที่สามารถวัดผล รายงานผล และตรวจสอบพิสูจน์ผลได้อย่างเป็นระบบเพื่อให้เกิดการจัดการก๊าซเรือนกระจกในภาพรวมอย่างมีประสิทธิภาพ
• มาตรการทางสังคมเพื่อสนับสนุนกิจกรรมความเป็นกลางทางคาร์บอนการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการสนับสนุนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในกระบวนการกำหนดนโยบายเป็นสิ่งสำคัญในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดยควรมีการให้ความรู้และประชาสัมพันธ์ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมรวมทั้งมีการเสริมสร้างศักยภาพผู้ประกอบการ บุคลากรที่เกี่ยวข้อง แรงงาน และนิสิตนักศึกษา เพื่อเตรียมตัวรองรับกับการเปลี่ยนผ่านไปสู่ธุรกิจสีเขียวในอนาคตตลอดจนมีการสร้างแบรนด์ (Branding) ของการเป็นสังคมไทยที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน เพื่อก่อให้เกิดการรับรู้ในวงกว้าง
• มาตรการด้านเทคโนโลยีนวัตกรรมและการเงิน การวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อรองรับสังคมสีเขียวและความท้าทายจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงมีส่วนสำคัญยิ่งต่อการสร้างเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ ซึ่งภาครัฐและเอกชนควรมีการสนับสนุนทางการเงินและแรงจูงใจเพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาและใช้เทคโนโลยีสะอาดเพื่อสร้างความยั่งยืนในประเทศ ตลอดจนพัฒนาเครื่องมือทางการเงินและกลไกตลาด เช่น การสร้างกลไกราคาคาร์บอน (Carbon pricing) การซื้อขายก๊าซเรือนกระจก (Emissions TradingScheme; ETS) และมาตรการอื่น ๆ ที่มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับบริบทของประเทศ
ในการนี้ จะเห็นได้ว่าการออกแบบนโยบายหรือมาตรการที่มีประสิทธิภาพของภาครัฐ ตลอดจนความร่วมมือและการลงทุนของภาคเอกชนหรือภาครัฐในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องรวมทั้งการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจะมีส่วนช่วยให้เกิดความสมดุลระหว่างการขับเคลื่อนเศรษฐกิจกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศตามที่ได้กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หรือใน NDC ของประเทศ และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งนำไปสู่การสร้างสังคมเป็นกลางทางคาร์บอนที่ควบคู่ไปกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สมดุลกับการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนได้อย่างยั่งยืน
[1]Social Cost of Carbon(SCC) เป็นการประมาณต้นทุนที่สังคมจะต้องแบกรับจากผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเนื่องมาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งได้มีการประมาณโดยหลายหน่วยงานจึงมีอัตราค่า SCC ที่มีการรายงานไว้กว่า 200 ค่าที่แตกต่างกัน โดยผลการศึกษาที่เป็นที่ยอมรับได้จะอยู่ในช่วง 192–3,133 บาทต่อตันคาร์บอน และมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 483 บาทต่อตันคาร์บอน (ที่มา : กรมสรรพสามิต)
เอกสารอ้างอิง
- Baiping Chen, Lars Fæste, Rune Jacobsen, Ming Teck Kong, Dylan Lu, and Thomas Palme. (2020). How China Can Achieve Carbon Neutrality by 2060. (Online). Available : https://www.bcg.com/publications/-2020/how-china-can-achieve-carbon-neutrality-by-2060
- Bloomberg Green. (2021). Forestry giant Chile needs more trees to zero out emissions. (Online). Available : https://www.bloomberg.com/news/features/2021-03-18/forestry-giant-chile-needs-more-trees-to-zero-out-emissions
- Climate action tracker. (2020). Chile. (Online). Available : https://climateactiontracker.org/countries/chile/
- Climate action tracker. (2020). China. (Online). Available : https://climateactiontracker.org/countries/china/
- Climate action tracker. (2020). Norway. (Online). Available : https://climateactiontracker.org/countries/-norway/
- Climate Action Tracker. (2020). Paris Agreement turning point Wave of net zero targets reduces warming estimate to 2.1°C in 2100 All eyes on 2030 targets. (Online). Available : https://climateactiontracker-.org/documents/829/CAT_2020-12-01_Briefing_GlobalUpdate_Paris5Years_Dec2020.pdf
- Climate home news. (2019). Which countries have a net zero carbon goal?. (Online). Available : https://www.climatechangenews.com/2019/06/14/countries-net-zero-climate-goal/
- Climate works foundation. (2020). China pledged net-zero emissions by 2060. Here’s what it will take to get there. (Online). Available : https://www.climateworks.org/blog/china-pledged-net-zero-emissions-by-2060-heres-what-it-will-take-to-get-there/
- Department of the Environment, Climate and Communications. (2021). Climate Action and Low Carbon Development (Amendment) Bill 2021. (Online). Available : https://www.gov.ie/en/publication/984d2-climate-action-and-low-carbon-development-amendment-bill-2020/
- Edie newsroom. (2021). US takes step towards 2050 net-zero target with sweeping climate bill. (Online). Available : https://www.edie.net/news/11/US-takes-step-towards-2050-net-zero-target-with-sweeping-climate-bill/
- Energy & Climate Intelligent Unit. (2021). Net zero tracker. (Online). Available : https://eciu.net/-netzerotracker
- European Alternative Fuels Observatory. Ireland. (Online). Available : https://www.eafo.eu/countries/-ireland/1738/incentives
- European commission. (2020). Communication from the commission to the European parliament, the council, the European economic and social committee and the committee of the regions. (Online). Available : https://ec.europa.eu/energy/sites/ener/files/eu_methane_strategy.pdf
- European Commission. (2020). Fossil CO2 emissions of all world countries. (Online). Available : https://edgar.jrc.ec.europa.eu/report_2020#emissions_table
- European Union. (2019). Going CLIMATE-NEUTRAL by 2050. (Online). Available : https://ec.europa.eu/-clima/sites/clima/files/long_term_strategy_brochure_en.pdf
- Evaluation of manure management systems in Europe. (Online). Available : https://core.ac.uk/-download/pdf/46606176.pdf
- Gas Networks Ireland. Vision 2050 A Net Zero Carbon Gas Network for Ireland. (Online). Available : https://www.gasnetworks.ie/vision-2050/future-of-gas/GNI_Vision_2050_Report_Final.pdf
- Green network. (2020). กระทรวงอุตสาหกรรม เดินหน้าผลักดัน Roadmap พัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ตั้งเป้าผลิตยานยนต์ไฟฟ้า 30% ในปี 2030. (Online). Available : https://www.greennetworkthailand.com/roadmap-%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2/
- IEA. (2020). CCUS in Clean Energy Transitions, IEA, Paris https://www.iea.org/reports/ccus-in-clean-energy-transitions
- James Glynn, Maurizio Gargiulo, Alessandro Chiodi, Paul Deane, Fionn Rogan & Brian Ó Gallachóir (2019) Zero carbon energy system pathways for Ireland consistent with the Paris Agreement, Climate Policy, 19:1, 30-42, DOI: 10.1080/14693062.2018.1464893
- JEFF ST. JOHN. (2021). A State-by-State Model of the US Net-Zero-Carbon Future. (Online). Available : https://www.greentechmedia.com/articles/read/to-zero-carbon-is-preferable-to-reachin
- Joe Myers. (2015). What are Europe’s biggest sources of carbon emissions?. (Online). Available : https://www.weforum.org/agenda/2015/11/what-are-europes-biggest-sources-of-carbon-emissions/
- Lu, Yuehong& Khan, Zafar & Alvarez-Alvarado, Manuel & Zhang, Yang & Huang, Zhijia& Imran, Muhammad. (2020). A Critical Review of Sustainable Energy Policies for the Promotion of Renewable Energy Sources. Sustainability. 12. 5078. 10.3390/su12125078.
- Ministry of Environment. (2016). Chile’s second biennial update report on climate change. (Online). Available : https://mma.gob.cl/wp-content/uploads/2017/04/2016_2BUR_en_CL.pdf
- NFU. (2019). Achieving NET ZERO farming’s 2040 goal. (Online). Available : https://www.nfuonline.com/nfu-online/business/regulation/achieving-net-zero-farmings-2040-goal/
- SalonyRajbhandari&BunditLimmeechokchai (2021) Assessment of greenhouse gas mitigation pathways for Thailand towards achievement of the 2°C and 1.5°C Paris Agreement targets, Climate Policy, 21:4, 492-513, DOI: 10.1080/14693062.2020.1857218
- The White House. (2021). FACT SHEET: President Biden Sets 2030 Greenhouse Gas Pollution Reduction Target Aimed at Creating Good-Paying Union Jobs and Securing U.S. Leadership on Clean Energy Technologies. (Online). Available : https://www.whitehouse.gov/briefing-room/statements-releases/2021/04/22/fact-sheet-president-biden-sets-2030-greenhouse-gas-pollution-reduction-target-aimed-at-creating-good-paying-union-jobs-and-securing-u-s-leadership-on-clean-energy-technologies/
- UNFCCC. (2020). Norway’s long-term low-emission strategy for 2050. (Online). Available : https://unfccc.int/sites/default/files/resource/LTS1_Norway_Oct2020.pdf
- Union of concerned scientists. (2021). Cooler Smarter: Geek Out on the Data!. (Online). Available : https://www.ucsusa.org/resources/cooler-smarter-geek-out-data
- Worldometer. CO2 Emissions. (Online). Available : https://www.worldometers.info/co2-emissions/
- Zhorea Garcia. (2020). Electric Car Industry in China Gets Tax Relief and Incentives. (Online). Available : https://www.sjgrand.cn/electric-car-industry-china-tax-relief-incentives/
- กรมสรรพสามิต. การจัดการความรู้ (KM) เรื่อง การพัฒนากฎหมายการจัดเก็บภาษีคาร์บอน. (Online). Available : https://www.excise.go.th/cs/groups/public/documents/document/mjaw/mdyx/~edisp/webportal16200061848.pdf