โตเกียว : เมื่อเร็วๆ นี้ ฟูจิตสึได้เปิดตัวแบรนด์ธุรกิจระดับโลกใหม่ล่าสุด Fujitsu Uvance ซึ่งจะนำเสนอโซลูชั่นด้านทรานส์ฟอร์เมชั่นเพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืน โดย Fujitsu Uvance จะใช้ประโยชน์จากความสามารถด้านเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญด้านการแก้ไขปัญหาของฟูจิตสึใน 7 ด้านที่สำคัญ เพื่อมอบคุณประโยชน์ที่เหนือกว่าให้แก่ลูกค้า ควบคู่ไปกับการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุด นั่นคือ “การทำให้โลกมีความยั่งยืนมากขึ้นด้วยการสร้างความเชื่อมั่นต่อสังคมโดยอาศัยนวัตกรรม”
คำว่า “Uvance” สื่อถึงแนวคิดของการทำให้ทุกสิ่ง (Universal) ก้าวไปข้างหน้า (Advance) ในทิศทางที่ยั่งยืน ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของฟูจิตสึใน “เป็นการสร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ ด้วยการเชื่อมโยงผู้คน เทคโนโลยี และแนวคิดต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืนและเปิดโอกาสให้ทุกคนก้าวตามความฝันได้มากขึ้น
Fujitsu Uvance จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตให้กับธุรกิจหลักของฟูจิตสึ ซึ่งครอบคลุมโฟกัส 7 ด้านที่สำคัญ โดย 4 ด้านนั้นเกี่ยวข้องกับธุรกิจสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเฉพาะ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างโลกที่น่าอยู่และแก้ไขปัญหาสังคมที่ต้องเผชิญทั้งในปัจจุบันและอนาคต โฟกัส 4 ด้านได้แก่ การผลิตที่ยั่งยืน (Sustainable Manufacturing), ประสบการณ์สำหรับผู้บริโภค (Consumer Experience), การใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดี (Healthy Living) และสังคมที่เชื่อถือได้ (Trusted Society) ส่วนอีก 3 ด้านเพื่อที่เข้ามารองรับการดำเนินงานข้างต้นและทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูล การผสานรวมแอปพลิเคชัน และการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัล (Digital Shifts), แอปพลิเคชันทางธุรกิจ (Business Applications) และระบบไอทีแบบไฮบริด (Hybrid IT) โดยฟูจิตสึจะนำเสนอแนวทางการดำเนินงานของ Fujitsu Uvance ซึ่งมุ่งเน้นการขับเคลื่อนนวัตกรรมภายใต้วิสัยทัศน์ระดับโลกสำหรับการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน
ภายในงาน “Fujitsu ActivateNow 2021” ซึ่งเป็นกิจกรรมระดับโลกที่จัดขึ้นผ่านระบบออนไลน์ในวันที่ 12 ตุลาคม มีสาส์นจากผู้บริหารของฟูจิตสึ วิทยากรรับเชิญ และลูกค้า เพื่อส่งมอบแนวคิดให้กับผู้เข้าร่วมรับฟัง
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ความท้าทายที่เพิ่มขึ้นและทิศทางที่เปลี่ยนไปของประชากรโลกมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ก่อให้เกิดโอกาสที่มากมาย รวมถึงปัญหาท้าทายที่ซับซ้อน จนทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมที่เพิ่มมากขึ้น ขณะที่ความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศนำไปสู่ภัยธรรมชาติที่รุนแรงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ในช่วงปีที่ผ่านมาเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั่วทุกมุมโลก ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวเผยให้เห็นถึงปัญหาความแตกแยกและความไม่เท่าเทียมกันที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ ทั่วโลก จนนำไปสู่การตั้งคำถามเกี่ยวกับค่านิยมและรูปแบบการใช้ชีวิตของประชาชน รวมไปถึงปัญหาท้าทายใหม่ๆ ที่เราไม่คาดคิดมาก่อน ซึ่งนับเป็นภัยคุกคามต่ออนาคตของมนุษยชาติและโลก การแก้ไขปัญหาเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ขณะที่ผู้บริหารจำเป็นที่จะต้องฉีกกฎเกณฑ์เดิม ๆ และกล้าที่จะก้าวเดินไปในทิศทางใหม่เพื่อมุ่งไปสู่อนาคตที่สดใส โดยใช้นวัตกรรมเป็นแสงนำทาง
ด้วยตระหนักถึงความสำคัญของช่วงเวลาที่เป็นจุดเปลี่ยนนี้ ฟูจิตสึจึงได้กำหนดวัตถุประสงค์ขึ้นใหม่ในปีพ.ศ.2563 โดยปรับใช้แนวทางใหม่ในการพลิกโฉมองค์กรไปสู่ธุรกิจที่มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อทำให้โลกของน่าอยู่มากขึ้น ตลอดจนเพื่อรับมือกับปัญหาต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2573 ฟูจิตสึ ได้ระบุโฟกัสหลัก 7 ด้านที่เป็นพื้นฐาน
เพื่อฉลองการเปิดตัวในครั้งนี้ ฟูจิตสึได้เปลี่ยนชื่ออาคาร “Fujitsu Kawasaki Tower” ในประเทศญี่ปุ่นเป็น “Fujitsu Uvance Kawasaki Tower” และใช้เป็นห้องปฏิบัติการที่จัดแสดงศักยภาพการใช้งานจริงของเทคโนโลยีต่างๆ เช่น ไบโอเมตริก การวิเคราะห์ภาพ ฯลฯ ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้จะมีบทบาทต่อฟูจิตสึในธุรกิจที่สำคัญ 7 ด้าน
นอกจากนี้ ฟูจิตสึเตรียมเปิดตัวโลโก้รูปโฉมใหม่ พร้อมกับการเริ่มต้นดำเนินงานของ Fujitsu Uvance ตรงกับลูกค้า โดยโลโก้ใหม่นี้สื่อถึงการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและการมีส่วนร่วมทำให้โลกมีความยั่งยืนมากขึ้น โดยจัดวางโลโก้เครื่องหมายอินฟินิตี้ (Infinity Mark) ไว้ที่ด้านหน้า พร้อมด้วยลายเส้นโค้งมนที่ลื่นไหลในรูปแบบไดนามิก แสดงถึงความมุ่งมั่นของฟูจิตสึในการเสริมสร้างพลังเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงและยังสื่อความหมายถึงวงจรการพัฒนาที่ยั่งยืนซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ลูกค้า สังคม และโลกของเรา
ฟูจิตสึมุ่งมั่นดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
สหประชาชาติได้กำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals – SDGs) เมื่อปีพ.ศ.2558 โดยตั้งเป้าที่จะดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวทั่วโลกภายในปีพ.ศ. 2570 ขณะที่ฟูจิตสึมีจุดมุ่งหมายที่จะ “ทำให้โลกมีความยั่งยืนมากขึ้นด้วยการสร้างความเชื่อมั่นต่อสังคมโดยอาศัยนวัตกรรม” และนั่นคือคำมั่นสัญญาสำหรับการสร้างอนาคตที่ดีกว่าตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ