จากมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ให้มีโครงการพลังงานแสงอาทิตย์โซลาร์ภาคประชาชน ปีละ 100 เมกะวัตต์ เริ่มปี พ.ศ. 2562 และต่อเนื่องไปเป็นระยะเวลา 10 ปี กรอบแนวคิดดังกล่าว ถูกถ่ายทอดผ่านมายังคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) และส่งผ่านมายังคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) นำไปสู่โครงการโซลาร์ภาคประชาชน ระยะที่ 1 ที่กำลังเป็นกระแสในปัจจุบัน
ผู้ใช้พลังงานประเภทครัวเรือนขนาดเล็กภายในประเทศจะกลายเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าผ่านเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) เพื่อใช้เอง (Self-Consumption) ก่อนนำส่วนที่เหลือใช้ส่งขายการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย (การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) ภายใต้กรอบกำลังผลิตติดตั้งครัวเรือนละไม่เกิน 10 กิโลวัตต์ (kWp) อัตราราคารับซื้อไฟฟ้าที่ 1.68 บาทต่อหน่วย ที่ระยะเวลารับซื้อไฟฟ้ารวม 10 ปี โดยมีสาระสำคัญโดยสรุปดังนี้
สาระสำคัญของระเบียบและประกาศ
- ผู้ยื่นต้องเป็นบุคคลหรือนิติบุคคล ที่ระบุชื่อในใบแจ้งค่าใช้ไฟฟ้า ต้องเป็นผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทที่ 1 ตามประกาศอัตราค่าไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ติดตั้งไม่เกิน 10 kWp ต่อครัวเรือน
- จะพิจารณาแบบเรียงลำดับก่อนหลังตามความพร้อม (First Come, First Served)
- อัตรารับซื้อไฟฟ้ากำหนดไว้ไม่เกิน 1.68 บาท/หน่วย ภายใต้อายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 10 ปี
- ผู้ยื่นต้องมีแบบแผงวงจรไฟฟ้า (Single Line Diagram) รวมทั้ง รายละเอียดอุปกรณ์ติดตั้งตามมาตรฐานที่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายกำหนด โดยมีวิศวกรไฟฟ้าที่มีใบประกอบวิชาชีพลงนามรับรอง
- ผู้ยื่นต้องมีรายการคำนวณความแข็งแรงของโครงสร้างหลังคาโดยมีวิศวกรโยธาที่มีใบประกอบวิชาชีพลงนามรับรอง (*เมื่อได้รับการพิจารณาเข้าร่วมโครงการแล้ว ให้ยื่นรายการคำนวณฯ แจ้งสำนักงานโยธาธิการในแต่ละท้องถิ่นเพื่อทราบ)
- ให้ผู้ยื่นลงทะเบียนโครงการโซลาร์ภาคประชาชนออนไลน์ ผ่าน 2 ช่องทาง MEA : https://spv.mea.or.th, PEA : https://ppim.pea.co.th
- รอการแจ้งผลการพิจารณาตามลำดับการยื่นและความครบถ้วนของเอกสารจากการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ผ่านทาง E-mail และเว็บไซต์ของการไฟฟ้า ตั้งแต่มิถุนายน 2562 เป็นต้นไป
- เมื่อผ่านการพิจารณา ให้ชำระค่าใช้จ่ายและลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า โดยมีค่าใช้จ่ายด้านเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าตลอดระยะเวลาสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 10 ปี
- จากนั้นให้ยื่นขอจดแจ้งยกเว้นไม่ต้องขอรับใบอนุญาตการผลิตไฟฟ้าต่อสำนักงาน กกพ. ผ่านระบบออนไลน์
โดยมีกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ ภายในปี พ.ศ. 2562 เงินลงทุนประมาณ 30,000-50,000 บาทต่อ kWp ขนาดพื้นที่เริ่มต้นที่จะติดตั้งไม่น้อยกว่า 7 ตารางเมตรต่อ kWp
ผู้สนใจยื่นข้อเสนอเข้าร่วมโครงการควรศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยเฉพาะผลประโยชน์ที่จะได้รับ คำนึงถึงความคุ้มทุนที่จะเกิดขึ้นดูจากพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนเป็นหลัก เปรียบเทียบกับปริมาณความต้องการและช่วงเวลาในการใช้ไฟฟ้าในบ้านของตนเองก่อน เช่น หากมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าช่วงกลางวันมาก ระยะเวลาในการคุ้มทุน ย่อมเร็วกว่า กล่าวคือ เน้นผลิตเองใช้เอง ก็เหมือนไม่ต้องซื้อไฟฟ้าได้ประหยัดค่าไฟประมาณ 3.80 บาทต่อหน่วย
สิ่งที่ควรทำก่อนเริ่มโครงการการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย
อันดับแรก ควรออกแบบตัวอาคารบ้านพักอาศัยให้ใช้พลังงานน้อย ปรับปรุงอาคารให้รับความร้อนจากแสงอาทิตย์เข้ามาสู่ภายในให้น้อยที่สุด ทิศทางและปริมาณกระแสลมที่ไหลผ่านตัวอาคารต้องทำหน้าที่ถ่ายเทความร้อนภายในบ้านอย่างเหมาะสม เบื้องต้นสามารถทำได้ง่ายๆ เช่น ติดตั้งฟิล์มกันความร้อนที่กระจก มู่ลี่ Shading ปรับปรุงภูมิทัศน์ โดยการปลูกต้นไม้เพื่อลดอุณหภูมิบริเวณอาคาร และเป็นการช่วยกรองอากาศและฝุ่น
อันดับสอง ติดตั้งและปรับปรุงอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพสูง เช่น หลอดแสงสว่าง LED เครื่องปรับอากาศเบอร์ 5 HIGH EER
เมื่อพิจารณาดำเนินการดังรายละเอียดข้างต้นแล้ว จึงมุ่งเน้นไปที่ติดตั้งเทคโนโลยีการผลิตพลังงานด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ใช้ในอาคารบ้านพักอาศัย เพื่อช่วยกันประหยัดพลังงานสำหรับโลกอนาคต ซึ่งในต่างประเทศการลงทุนลงเงินเพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน พลังงานสะอาด ในกรณีพลังงานจากเซลล์แสงอาทิตย์ สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงอย่างแรก คือการเลือกอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง (High Energy Efficiency) เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการพลังงานในภาพรวมของประสิทธิภาพพลังงานสูงที่สุด (DSM) ลดการสูญเสียในระยะยาว
ปัจจัยสู่ความสำเร็จของโครงการโซลาร์ภาคประชาชนสำหรับผู้ยื่น
- ผู้ยื่นต้องผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองเป็นหลัก
- ผู้ยื่นควรมีความรู้เบื้องต้นในการบำรุงรักษา เพื่อการใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ
- ผู้ยื่นต้องมีความเข้าใจในลักษณะการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในแต่ละช่วงเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน
- ผู้ยื่นต้องมีโครงสร้างหลังคาที่แข็งแรงสามารถรองรับน้ำหนักของแผงและน้ำหนักจากพนักงานที่ขึ้นไปซ่อมบำรุงได้
การปรับใช้กับประเทศไทย
ในประเทศไทยมีศักยภาพด้านพลังงานแสงอาทิตย์ค่อนข้างดี แต่มีความหลากหลายด้านสภาวะแวดล้อม เช่น บริเวณที่มีแสงอาทิตย์อุณหภูมิสูง บริเวณที่มีความชื้นสูง บริเวณที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่หนาแน่น จึงควรเลือกอุปกรณ์ที่มีมาตรฐาน และติดตั้งระบบป้องกันการเสื่อมถอยของอุปกรณ์และการถูกรุกรานจากสิ่งมีชีวิตในบริเวณที่มีความเสี่ยงเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ อีกทั้งจะเกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ในอนาคตด้วย
Source: นิตยสาร Green Network ฉบับที่ 93 พฤษภาคม-มิถุนายน 2562 คอลัมน์ GREEN Focus
โดย นรินพร มาลาศรี ผู้ชำนาญการพิเศษฝ่ายแผนและกำกับการจัดหาพลังงาน สำนักงาน กกพ.