เมื่ออุตสาหกรรมไม่อาจพึ่งพาวิธีเดิมได้อีกต่อไป บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จึงนำทัพขับเคลื่อนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สู่อนาคตแห่งความยั่งยืน ผ่านงานประชุม Delta Future Industry Summit 2025 ภายใต้แนวคิด “พลิกโฉมอุตสาหกรรมสู่อนาคตด้วย AI ระบบอัตโนมัติ และพลังงาน”

สัญญาณที่ว่า “เทคโนโลยี” ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือ แต่คือ “แรงขับเคลื่อนของความเปลี่ยนแปลง” ที่จะพาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของภูมิภาคก้าวสู่ยุคใหม่ ยุคที่โรงงานอัจฉริยะ พลังงานหมุนเวียน และข้อมูลเชิงลึกจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะกลายเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และของโลกที่ไม่อาจถอยกลับไปเหมือนเดิมได้อีกแล้ว
ชูความเป็นผู้นำอุตสาหกรรมอัจฉริยะ ยกระดับด้วย AI

วิคเตอร์ เจิ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า งาน Delta Future Industry Summit ถือเป็นเวทีสำคัญที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราในการร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อสร้างภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อัจฉริยะและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยพลังแห่งความร่วมมือ ผนวกกับนวัตกรรมและการประยุกต์ใช่โซลูชันประหยัดพลังงานอัจฉริยะของเดลต้า เรามุ่งมั่นผลักดันให้อุตสาหกรรมและสังคมสามารถบรรลุเป้าหมาย ด้านความยั่งยืนได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้กว่า 20% ลดระยะเวลาการทำงานลงถึง 50% และลดปริมาณสินค้าคงคลังได้มากถึง 30% ผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI หลากหลายรูปแบบ ซึ่งล้วนเป็นเป้าหมายที่ “สามารถทำได้จริง” หากมีการวางระบบอย่างถูกต้องและครบวงจร
ในช่วงปี 2020–2025 เดลต้าประสบความสำเร็จในการเพิ่มผลผลิตเกือบ 3 เท่า จากมูลค่าธุรกิจราว 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเพิ่มจำนวนบุคลากรขึ้นเพียง 25% สะท้อนถึงพลังของระบบอัตโนมัติและการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง จากยุคของ Machine Learning สู่ Artificial Intelligence (AI) ที่กลายเป็นหัวใจสำคัญของโรงงานอัจฉริยะในปัจจุบัน

โมเดลโรงงานอัจฉริยะ เพิ่มผลผลิต 3 เท่า
วิคเตอร์ กล่าวว่า โรงงานในอนาคตจะเปลี่ยนผ่านจากระบบที่พึ่งพามนุษย์เป็นหลัก ไปสู่ระบบอัตโนมัติในสัดส่วนที่สูงขึ้น โดยในสายการผลิตระดับพื้นฐานอาจใช้ระบบอัตโนมัติราว 30% ส่วนสายการผลิตขั้นสูงสามารถใช้ได้มากถึง 70% ทำให้สามารถ “เพิ่มผลผลิตได้ถึง 3 เท่า” โดยใช้กำลังคนเพิ่มเพียงเล็กน้อย นับเป็นผลลัพธ์เชิงประจักษ์ของการบูรณาการ AI และ Smart Automation เข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม
ในระดับภูมิภาค อุตสาหกรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่าง “ประสิทธิภาพ ความมั่นคงทางพลังงาน และความยั่งยืน” แม้หลายประเทศยังคงพึ่งพาพลังงานฟอสซิล เช่น ก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน แต่แรงกดดันจากนโยบายสากลและเทคโนโลยีใหม่ ๆ จะผลักดันให้ภูมิภาคนี้เร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดในอนาคต
“ไมโครกริด” ทางออกใหม่ของภูมิภาค
รายงานของ ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ระบุว่า ระบบโครงข่ายไฟฟ้าในภูมิภาคยังอยู่ภายใต้แรงกดดันสูง เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานยังไม่พร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งนับเป็นทั้ง “ความท้าทายและโอกาส” สำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการเร่งพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานยุคใหม่
หนึ่งในแนวทางที่ถูกจับตามากที่สุดคือ “ไมโครกริด (Microgrid)” ที่สามารถบูรณาการพลังงานหมุนเวียนเข้ากับระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะ ระบบกักเก็บพลังงาน และระบบอัตโนมัติในอาคาร เพื่อสร้างเครือข่ายพลังงานที่ “อิสระ ปลอดภัย และยั่งยืน” โดยมีการคาดการณ์ว่าตลาดไมโครกริดทั่วโลกจะมีการลงทุนสูงถึง 95,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 ซึ่งถือเป็น “โอกาสทอง” สำหรับภาคอุตสาหกรรมและพันธมิตรทั่วโลกในการร่วมมือพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงานสะอาด เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวแห่งอนาคตอย่างแท้จริง
มุ่งพัฒนากำลังคนกว่า 1,800 คน เน้นวิศวกรไทย รองรับการเติบโต AI
เดลต้ามุ่งยกระดับขีดความสามารถด้านวิศวกรรมของภาคอุตสาหกรรมไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนเพิ่มกำลังบุคลากรด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) ให้แตะระดับ 1,800 คนภายใน 2–3 ปีข้างหน้า ซึ่งประกอบด้วยวิศวกรชาวไทยเป็นหลัก ควบคู่กับการผสมผสานความเชี่ยวชาญจากวิศวกรในภูมิภาคและผู้เชี่ยวชาญขั้นสูงจากกลุ่มเดลต้าทั่วโลก เพื่อสร้างทีมที่พร้อมรองรับการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีในระบบอุตสาหกรรมยุคใหม่
บริษัทฯ เชื่อว่าการพัฒนาทุนมนุษย์คือหัวใจสำคัญของการสร้าง “ระบบนิเวศอุตสาหกรรมอัจฉริยะ” ที่ยั่งยืนในระยะยาว ขณะเดียวกัน เดลต้าก็ยังคงให้การสนับสนุนด้านการศึกษาในประเทศไทย ผ่านโครงการที่เปิดโอกาสให้นักเรียนและนักศึกษาได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงในอุตสาหกรรมไฮเทค เพื่อปูทางสู่การเป็นกำลังสำคัญของอุตสาหกรรมอนาคต

ชาน ชาน กัว ประธานเจ้าหน้าที่แบรนด์องค์กร บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ อิ้งค์ กล่าวบรรยายพิเศษในหัวข้อ “ก้าวสู่อนาคต AI ที่ผสานพลังความยั่งยืนสีเขียว” โดยระบุว่า รายงานการวิจัยของ Economist Impact ซึ่งเดลต้าให้การสนับสนุน ชี้ชัดว่าเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและประหยัดพลังงาน เมื่อทำงานร่วมกับความร่วมมือของทุกภาคส่วนในระบบนิเวศอุตสาหกรรม จะเป็นแรงขับสำคัญที่นำโลกสู่ยุค Green AI อย่างแท้จริง รายงานยังเผยว่า 78% ขององค์กรทั่วโลก มองว่าประสิทธิภาพด้านพลังงานของระบบ AI จะเป็นประเด็นสำคัญในปีหน้า ขณะที่ “ความยืดหยุ่นของโครงข่ายไฟฟ้า (Grid Resilience)” คือความท้าทายหลักที่อุตสาหกรรมต้องเร่งรับมือ หากต้องการให้การเติบโตของ AI เป็นไปอย่างยั่งยืน
“เดลต้ากำลังผลักดันการพัฒนา AI อย่างรับผิดชอบ ผ่านการพลิกโฉมระบบแปลงพลังงาน “จากโครงข่ายไฟฟ้าสู่ชิป (Grid-to-Chip)” จากระบบ AC-DC แบบเดิมสู่ระบบ ไฟฟ้าแรงดันสูงแบบ DC (HVDC) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมเสริมความยืดหยุ่นให้ระบบด้วยเทคโนโลยีไมโครกริด ซึ่งเป็นหัวใจของโครงสร้างพื้นฐานพลังงานอัจฉริยะยุคใหม่” ชาน ชาน กัว กล่าว
ไทยพร้อมแค่ไหน หากจะก้าวสู่ศูนย์กลางการผลิตคาร์บอนต่ำ
แจ็คกี้ จาง ประธานฝ่ายบริหารและปฏิบัติการ (COO) บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หากประเทศไทยต้องการก้าวขึ้นเป็น “ศูนย์กลางการผลิตคาร์บอนต่ำของภูมิภาค” จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมืออย่างจริงจังระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อเร่งปรับระบบพลังงานและกฎระเบียบให้เอื้อต่อการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดอย่างเป็นรูปธรรม
ปัจจุบัน ภาครัฐเริ่มขับเคลื่อนเชิงนโยบายผ่านโครงการทดลอง (Sandbox Projects) ที่เปิดโอกาสให้ภาคอุตสาหกรรมทดสอบการใช้ พลังงานหมุนเวียน (Green Energy) ในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงการเชื่อมโยงโครงข่ายไฟฟ้าระหว่างพื้นที่เพื่อกระจายพลังงานสะอาด ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพลังงานคาร์บอนต่ำในประเทศ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านจะเกิดขึ้นได้จริงก็ต่อเมื่อภาครัฐสามารถ “ปรับปรุงกฎเกณฑ์” ให้ทันต่อเทคโนโลยีและรูปแบบการผลิตยุคใหม่ พร้อมเปิดทางให้ภาคเอกชนลงทุนในพลังงานสะอาดได้คล่องตัวมากขึ้น
ขณะที่มุมของภาคเอกชนไทยเอง ก็ถือว่ามีศักยภาพสูงและมี “แรงขับภายใน” ที่แข็งแกร่ง เนื่องจากบริษัทชั้นนำในหลายอุตสาหกรรมต่างตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนและเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งเดลต้าเชื่อว่าความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนจะเป็นแรงผลักสำคัญในการสร้างระบบเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำให้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย
เร่งเดินหน้าสู่เป้าหมาย RE100 ปี 2027
สำหรับเดลต้า ประเทศไทย ได้ตั้งเป้าหมายการใช้พลังงานสะอาด 100% ตามมาตรฐาน RE100 ภายในปี 2030 แต่จากความคืบหน้าของการดำเนินงานในปัจจุบัน คาดว่าจะสามารถ “บรรลุเป้าหมายได้เร็วกว่ากำหนด” ภายในปี 2027โดยบริษัทได้ลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาดในโรงงานผลิต รวมถึงขยายการใช้ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และระบบชาร์จไฟฟ้า ภายใต้โครงการ EV100 เพื่อผลักดันการลดการปล่อยคาร์บอนในภาคขนส่งอย่างต่อเนื่อง
“ความต้องการใช้พลังงานสะอาดในระดับสากลกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในห่วงโซ่อุปทานของลูกค้าระดับโลกที่ให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานหมุนเวียนและการจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ซึ่งเดลต้าในฐานะผู้นำโซลูชันพลังงานอัจฉริยะจึงไม่เพียงมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตของตนเองเท่านั้น แต่ยังขยายความร่วมมือไปสู่ลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อสร้าง “ห่วงโซ่การผลิตสีเขียว (Green Supply Chain)” ที่ครบวงจรและยั่งยืนอย่างแท้จริง” แจ็คกี้ จาง กล่าว